รถยนต์ใหม่ราว 15 ล้านคัน ในจีนแม้กระทั่งรุ่นราคาต่ำกว่า 5 แสนบาท จะติดตั้งระบบขับขี่อัตโนมัติ เบื้องต้นในปีนี้ เนื่องจากต้นทุนของเทคโนโลยีดังกล่าวลดลง
ตามการประมาณการของอุตสาหกรรม รถยนต์ ที่มีความสามารถในการขับขี่อัตโนมัติอย่างน้อยระดับ 2 (L2) ซึ่งหมายความว่าสามารถควบคุมการเลี้ยว การเร่งความเร็ว และลดความเร็วได้ แต่ยังคงต้องให้คนขับควบคุมตลอดเวลา
นายจาง หย่งเว่ย เลขาธิการ China EV100 องค์กรอิสระที่มีสมาชิกเป็นผู้บริหารระดับสูงของผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้า รายใหญ่ของจีน กล่าวในระหว่างการแถลงข่าวที่กรุงปักกิ่งเมื่อเดือนม.ค. ว่าในปี 2568 รถยนต์ใหม่ 2 ใน 3 คันที่ขายในจีนจะมีความสามารถในการขับขี่อัตโนมัติระดับ L2 ขึ้นไป เนื่องจากต้นทุนการผลิตที่ลดลงและผู้ผลิตรถยนต์ต้องดิ้นรนเพื่อเอาตัวรอดจากการแข่งขันที่ดุเดือด
David Zhang เลขาธิการสมาคมวิศวกรรมยานยนต์ อัจฉริยะระหว่างประเทศกล่าวว่า การผลิตระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ขั้นสูง (ADAS) จำนวนมากในตลาดยานยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกทำให้ผู้บริโภคชาวจีนได้สัมผัสกับประสบการณ์การขับขี่อัตโนมัติมากขึ้น การใช้รถยนต์อัจฉริยะ ที่เพิ่มขึ้นถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในอุตสาหกรรมยานยนต์โลก ในปี 2024 ผู้ผลิตในจีนส่งมอบรถยนต์จำนวน 22.9 ล้านคันซึ่งประกอบด้วยรถยนต์ไฟฟ้าและรถเบนซินให้แก่ลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.5 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยBYD ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่ที่สุดในโลกได้จัดทำแผนการสร้างรถยนต์ที่มีราคาต่ำกว่า 4.6 แสนบาท(100,000 หยวน)โดยปกติรถที่มีระบบ ADAS เบื้องต้นที่ผลิตในจีนส่วนใหญ่หากมีระบบ ADAS จะมีราคาสูงกว่า 7แสนบาท(150,000 หยวน)
“ในปีนี้เราจะได้เห็น การเติบโตของระบบขับขี่อัตโนมัติระดับไฮเอนด์ ในยานยนต์กระแสหลักในแผ่นดินจีน เนื่องจากผู้ผลิตรถยนต์หลายสิบรายต่างเสริมสร้างนวัตกรรมเพื่อแข่งขันเหนือคู่แข่ง Paul Gong หัวหน้าฝ่ายวิจัยรถยนต์จีนที่ UBS กล่าวในการสัมมนาออนไลน์ China Future Tech ของ Post เมื่อวันที่ 9 มกราคม 2568”
ระบบขับขี่อัตโนมัติถูกแบ่งออกเป็น 5 ระดับ ตามมาตรฐานที่กำหนดโดยองกรณ์วิศวกรรมยานยนต์โลก(SAE International) ซึ่งตั้งอยู่ในสหรัฐอเมริกา รถยนต์อัจฉริยะส่วนใหญ่ในจีนจัดอยู่ในประเภท L2 หรือ L2+ ซึ่งกำหนดว่าผู้ขับขี่จะต้องตื่นตัวและพร้อมที่จะควบคุมรถได้ตลอดเวลา
L3 ถือเป็นระบบขับขี่อัตโนมัติที่ไม่ต้องลงมือทำอะไรมาก แต่ยังคงต้องการให้ผู้ขับขี่ตื่นตัวและพร้อมที่จะเข้าควบคุมรถในขณะที่ L4 ผู้ขับขี่สามารถละสายตาจากถนนได้ ส่วน L5 เป็นระบบอัตโนมัติเต็มรูปแบบที่ไม่จำเป็นต้องให้มนุษย์เข้ามาแทรกแซง
การขับรถอัตโนมัติจะช่วยให้บริษัทต่างๆ ของจีนประหยัดค่าแรงงานได้ปีละประมาณ 1.8 ล้านล้านหยวนภายในปี 2030 เนื่องจากรถบรรทุกหลายพันคันจะกลายเป็นรถไร้คนขับ นักวิเคราะห์ของ UBS Xu Bin คาดการณ์ไว้ในปี 2022 รถเหล่านี้จะเริ่มมากขึ้น ตามเป้าหมายลดต้นทุนด้านโลจิสติกส์เพื่อเพิ่มผลกำไรของบริษัทต่างๆ
“ระบบอัตโนมัติสามารถกระตุ้นยอดขายรถยนต์ได้ เนื่องจากคนขับรถรุ่นใหม่ในจีนมีความสนใจในประสบการณ์การขับขี่อัตโนมัติ” Zhao Zhen ผู้อำนวยการฝ่ายขายของตัวแทนจำหน่าย Wan Zhuo Auto ในเซี่ยงไฮ้กล่าว รถยนต์อัจฉริยะไม่ได้ทำงานอัตโนมัติเต็มรูปแบบ แต่แบรนด์ที่มีระบบอัตโนมัติระดับ ที่ต้องการการแทรกแซงจากมนุษย์น้อยกว่าจะดึงดูดผู้ซื้อที่มีศักยภาพได้มากกว่า”
ค่าใช้จ่ายของระบบ ADAS ลดลงในช่วงสองปีที่ผ่านมา เนื่องมาจากการผลิตและการขายรถยนต์อัจฉริยะที่เพิ่มขึ้นในประเทศจีน โดยปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 10,000 หยวน ตามข้อมูลของ Chen Jinzhu ซีอีโอของ Shanghai Mingliang Auto Service
ต้นทุนของอุปกรณ์ไรด้าซึ่งรถยนต์อัจฉริยะหลายรุ่นใช้ในการทำแผนที่บริเวณโดยรอบนั้น ลดลงเหลือประมาณ 200 เหรียญสหรัฐต่อหน่วยจากราคาหลายพันเหรียญสหรัฐเมื่อ 5 ปีก่อนผู้ผลิตยานยนต์จีนกำลังพยายามไล่ตาม เทสล่า เนื่องจากมีระบบขับขี่อัตโนมัติเต็มรูปแบบ (FSD) ซึ่งระบบดังกล่าวยังไม่ได้รับการอนุมัติให้ใช้งานในประเทศจีน แต่มีแนวโน้มว่าจะเริ่มทดสอบในปีนี้ โดยTesla จำหน่าย ระบบราคา 8,000 ดอลลาร์สหรัฐสำหรับการติดตั้ง FSD ในสหรัฐอเมริกา นอกเหนือจากค่าสมัครสมาชิกรายเดือน 99 ดอลลาร์สหรัฐ