อุตสาหกรรมยานยนต์จีนถือเป็นหนึ่งในตัวอย่างความสำเร็จที่โดดเด่นที่สุดของการพัฒนาเศรษฐกิจในยุคสมัยใหม่ จากจุดเริ่มต้นที่ล้าหลังในช่วงกลางศตวรรษที่ 20 จีนได้ก้าวขึ้นเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่สุดของโลกตั้งแต่ปี 2008 และในปี 2023-2025 ยังกลายเป็นผู้ส่งออกรถยนต์อันดับหนึ่งของโลก แซงหน้าญี่ปุ่นและเยอรมนี การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่มาจากนโยบายรัฐบาลที่ชาญฉลาด การร่วมทุนกับบริษัทต่างชาติ และการมุ่งเน้นไปที่ยานยนต์พลังงานใหม่ (New Energy Vehicles หรือ NEV) ซึ่งรวมถึงรถยนต์ไฟฟ้า (EV) และปลั๊กอินไฮบริด ในปี 2025 NEV คิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 50% ของยอดขายรถใหม่ในจีน สะท้อนถึงการเปลี่ยนผ่านที่รวดเร็วและแข็งแกร่ง
นโยบาย Made in China 2025:
Made in China 2025 (中国制造2025) เป็นนโยบายอุตสาหกรรมเชิงยุทธศาสตร์ระดับชาติของจีน ที่รัฐบาลจีนประกาศอย่างเป็นทางการในเดือนพฤษภาคม ปี 2015 โดยคณะรัฐมนตรี (State Council) ภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีหลี่ เค่อเฉียง นโยบายนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากแผน Industry 4.0 ของเยอรมนี โดยมุ่งยกระดับอุตสาหกรรมการผลิตของจีนจาก “โรงงานของโลก” ที่เน้นปริมาณและต้นทุนต่ำ สู่การเป็นผู้นำโลกด้านการผลิตเทคโนโลยีสูง นวัตกรรม และคุณภาพ premium
เป้าหมายหลักและแผน “สามขั้นตอน”
นโยบายนี้กำหนดแผนระยะยาว “สามขั้นตอน” เพื่อให้จีนกลายเป็น “ประเทศผู้ผลิตที่แข็งแกร่ง” (manufacturing powerhouse):
- ขั้นที่ 1 (ถึงปี 2025): จีนเข้าสู่กลุ่มประเทศผู้ผลิตชั้นนำของโลก ลดการพึ่งพาเทคโนโลยีต่างชาติ เพิ่มสัดส่วนส่วนประกอบหลักที่ผลิตในประเทศ (core components) เป็น 70% ในสาขาสำคัญ
- ขั้นที่ 2 (ถึงปี 2035): อุตสาหกรรมจีนถึงระดับกลางของกลุ่มประเทศผู้ผลิตที่แข็งแกร่งที่สุด
- ขั้นที่ 3 (ถึงปี 2049): ครบรอบ 100 ปีการก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน จีนกลายเป็นผู้นำโลกด้านการผลิตอย่างแท้จริง
เป้าหมายหลักอื่นๆ ได้แก่:
- เพิ่มผลิตภาพแรงงานและนวัตกรรม
- พัฒนาการผลิตอัจฉริยะ (smart manufacturing) และดิจิทัล
- ลดการพึ่งพาต่างชาติในห่วงโซ่อุปทานสำคัญ
- ส่งเสริมบริษัทจีนให้ครองตลาดโลกในเทคโนโลยีเกิดใหม่
สาขาอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์หลัก 10 สาขา
นโยบายมุ่งเน้นการลงทุนและสนับสนุนอย่างเข้มข้นใน 10 สาขาเทคโนโลยีสูง ที่จีนมองว่าเป็นกุญแจสู่อนาคต:
- เทคโนโลยีสารสนเทศรุ่นใหม่ (Next-generation IT)
- หุ่นยนต์และเครื่องจักรควบคุมตัวเลขขั้นสูง (Robotics and CNC machinery)
- อุปกรณ์การบินและอวกาศ (Aerospace and aviation equipment)
- วิศวกรรมทางทะเลและเรือไฮเทค (Maritime engineering and high-tech ships)
- รถไฟขั้นสูง (Advanced rail equipment)
- ยานยนต์ประหยัดพลังงานและพลังงานใหม่ (Energy-saving and new energy vehicles – NEV)
- อุปกรณ์ไฟฟ้ากำลัง (Power equipment)
- เครื่องจักรกลการเกษตร (Agricultural machinery)
- วัสดุใหม่ (New materials)
- ยาชีวภาพและอุปกรณ์การแพทย์ประสิทธิภาพสูง (Biopharma and medical devices)
สามยุคของอุตสาหกรรมยานยนต์จีน: จากรากฐานสู่ความแข็งแกร่งระดับโลก
ตามแนวคิดที่พัฒนาในวงการอุตสาหกรรม จีนแบ่งวิวัฒนาการออกเป็นสามยุคหลัก เพื่อสะท้อนการเปลี่ยนแปลงเชิงยุทธศาสตร์
ยุคที่ 1: การปูรากฐานในประเทศและการบังคับร่วมทุน ยุคนี้ครอบคลุมตั้งแต่ทศวรรษ 1950 จนถึงช่วงต้นศตวรรษที่ 21 โดยรัฐบาลจีนกำหนดนโยบายบังคับให้บริษัทต่างชาติต้องร่วมทุน (joint venture) กับบริษัทจีน เพื่อถ่ายทอดเทคโนโลยี การผลิต และการจัดการ นโยบายนี้ช่วยพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ห่วงโซ่อุปทานในประเทศ และกำลังการผลิต ทำให้บริษัทอย่าง FAW, SAIC, Dongfeng เติบโตเป็นแกนหลัก ส่งผลให้จีนกลายเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่สุดในโลกตั้งแต่ปี 2008
การวางรากฐานภายใต้ระบบรัฐวิสาหกิจ (พ.ศ. 2496-2523)
อุตสาหกรรมยานยนต์จีนเริ่มต้นอย่างจริงจังในทศวรรษ 1950 ด้วยความช่วยเหลือจากสหภาพโซเวียต โรงงานแรกอย่าง First Automobile Works (FAW) ผลิตรถบรรทุก Jiefang CA-10 ในปี 1956 ตามแบบโซเวียต ในยุคนั้น การผลิตรถยนต์มุ่งเน้นสำหรับใช้งานทางทหารและราชการเป็นหลัก รถยนต์ส่วนบุคคลแทบไม่มีตลาด เนื่องจากนโยบายเศรษฐกิจแบบปิดและการปฏิวัติวัฒนธรรมทำให้การผลิตเติบโตช้า ปีละไม่เกิน 200,000 คัน
ยุคที่ 2: จุดเริ่มต้นใหม่สู่เส้นทางยานยนต์พลังงานใหม่ ตั้งแต่ทศวรรษ 2010 เป็นต้นมา จีนมุ่งเน้น NEV อย่างจริงจัง ผ่านการอุดหนุน การลงทุนวิจัย และนโยบายสนับสนุน ทำให้แบรนด์จีนอย่าง BYD, Geely, Chery ก้าวขึ้นครองตลาดภายใน และเริ่มส่งออก NEV สู่ตลาดโลก การ “leapfrog” ข้ามเทคโนโลยีเครื่องยนต์สันดาปภายใน ไปสู่ EV และไฮบริดโดยตรง ทำให้จีนครองส่วนแบ่งตลาดแบตเตอรี่และ NEV ระดับโลก
การร่วมทุนและการเปิดประเทศ (พ.ศ. 2524-2543)
การปฏิรูปเศรษฐกิจของเติ้ง เสี่ยวผิง ในปลายทศวรรษ 1970 เปิดทางให้อุตสาหกรรมยานยนต์เติบโต รัฐบาลกำหนดให้ยานยนต์เป็น “อุตสาหกรรมเสาหลัก” และเชิญชวนการลงทุนจากต่างชาติผ่าน joint ventures เช่น Beijing Jeep (กับ American Motors ในปี 1983) Shanghai Volkswagen (1984) และ Guangzhou Peugeot การร่วมทุนเหล่านี้ช่วยถ่ายทอดเทคโนโลยีและเพิ่มกำลังการผลิต โดยปี 1992 จีนผลิตได้เกิน 1 ล้านคัน และปี 2000 เกิน 2 ล้านคัน บริษัทรัฐวิสาหกิจใหญ่ๆ อย่าง SAIC, FAW, Dongfeng และ Changan กลายเป็นแกนหลัก
ยุคที่ 3: การเปลี่ยนจาก “ประเทศใหญ่” สู่ “ประเทศที่แข็งแกร่ง” ยุคปัจจุบัน (กลางทศวรรษ 2020 เป็นต้นมา) มุ่งเน้นการผลิตอัจฉริยะ การบูรณาการ AI การขยายโรงงานสู่ต่างประเทศ และการยกระดับคุณภาพเพื่อแข่งขันระดับโลก จีนไม่เพียงผลิตจำนวนมาก แต่ยังเป็นผู้นำนวัตกรรม เช่น รถยนต์อัจฉริยะเชื่อมต่อ (connected vehicles) และการผลิตที่ยั่งยื
” จีนกำลังตั้งเป้าหมายของอุตสาหกรรมยานยนต์ให้เปลี่ยนจาก “ประเทศผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่” มาเป็น “ประเทศผู้ผลิตรถยนต์ที่แข็งแกร่ง” อุตสาหกรรมจีนยุคที่ 3
การขยายโรงงานสู่ต่างประเทศ: ตัวอย่างในประเทศไทย
เพื่อหลีกเลี่ยงอุปสรรคทางการค้าและขยายตลาด จีนในยุคที่ 3 มุ่งสร้างโรงงาน overseas อย่างรวดเร็ว โดยประเทศไทยกลายเป็นฮับสำคัญในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยนโยบายสนับสนุน EV ของรัฐบาลไทย ปัจจุบันมีบริษัทจีนอย่างน้อย 7 รายตั้งโรงงานผลิต NEV ในไทย ได้แก่ BYD (โรงงาน Rayong เริ่มผลิต 2024 กำลังการผลิต 150,000 คัน/ปี), Changan (โรงงานแรก overseas เริ่มดำเนินการปี 2025), Great Wall Motor, Chery, GAC Aion, SAIC (MG), และ Neta การลงทุนเหล่านี้ไม่เพียงผลิตเพื่อตลาดไทย แต่ยังส่งออกไปยุโรปและภูมิภาคอื่นๆ ช่วยให้จีนรักษาความได้เปรียบในห่วงโซ่อุปทานโลก




