รายงานข่าวจาก Chery Group ระบุว่าบริษัทมีความพร้อมที่จะเข้ามาทำตลาด ในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ โดยเตรียมส่ง รถยนต์ OMODA 5 EV และ JAECOO ลงทำตลาด ซึ่งการส่งแบรนด์ใหม่ 2 แบรนด์ ลุยตลาดไทยครั้งที่2 นี้บริษัทพร้อมลงทุนสร้างโรงงาน ดันไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตรถพวงมาลัยขวาในภูมิภาค
“การกลับมาทำตลาดในประเทศไทยในครั้งนี้ เณอรี่ กรุ๊ป ดำเนินการเองไม่ผ่าน Distributor เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าชาวไทยทุกคน และจะมีการเปิดตัวแบรนด์รถยนต์ใหม่ ภายใต้ เณอรี่ กรุ๊ป ในชื่อแบรนด์ โอโมดะ (OMODA) และ แจคู (JAECOO )”
ในช่วงกลางปี 2023 ในงาน Shanghai International Automobile Industry Exhibition ครั้งที่ 20 (Auto Shanghai 2023) เณอรี่ กรุ๊ป ได้เปิดตัวแบรนด์ใหม่ในชื่อ OMODA และ JAECOO ซึ่งเป็นการพัฒนาแบรนด์รถยนต์สะท้อนถึงไลฟ์สไตล์ของผู้ใช้ได้อย่างตอบโจทย์ทั้งฟังก์ชันและดีไซน และควบรวมกับ เทคโนโลยีล่าสุดของ เณอรี่ กรุ๊ป
OMODA 5 EV
รถยนต์ไฟฟ้าที่เปิดตัวเป็นรุ่นแรกในไทยคือ OMODA 5 EV รถยนต์ขับเคลื่อนพลังงานไฟฟ้า 100% รุ่นแรกที่ออกแบบภายใต้แนวคิดการสะท้อนตัวตนผู้ขับขี่คนรุ่นใหม่ ที่มีความทันสมัย มีสไตล์และชื่นชอบเทคโนโลยีแห่งอนาคต ในขณะที่แบรนด์JAECOO ได้รับแรงบันดาลใจจากปรัชญาของธรรมชาติ เรียบหรู น่าเกรงขาม เปี่ยมไปด้วยเทคโนโลยีสุดทรงพลังที่สามารถขับขี่ได้ในทุกสภาพภูมิประเทศ ผ่านการออกแบบภายในที่มีความประณีต ความซับซ้อน และแข็งแรง
Chery Omoda 5 เป็นรถยนต์แบบเอสยูวีใช้พลังงานไฟฟ้า100%ระยะทาง 450 กิโลเมตร จะเปิดตัวในตลาดยุโรปและตลาดอื่นๆ ในปีหน้า Omoda 5 EV มาพร้อมกับชุดแบตเตอรี่ขนาด 61 kWh เป็นมาตรฐาน และขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ล้อหน้าที่มีกำลัง 204 แรงม้า สามารถเร่งความเร็วจาก 0-100 กิโลเมตรในเวลา 7.6 วินาที มีระยะการขับขี่ 450 กิโลเมตร/ชาร์จ มีระบบรองรับการชาร์จเร็ว 110kW DC ซึ่งสามารถชาร์จได้ตั้งแต่ 0- 80% ใน 30 นาที คู่แข่งในตลาดคือ ฮุนได Kona, โตโยต้า C-HR และเกีย Seltos
แจคู 7 เอสยูวีตัวแรกของแบรนด์
แเจคู(JAECOO) เป็นรถยนต์เอสยูวี เพิ่งเปิดแบรนด์มาได้ไม่นาน มีรถยนต์รุ่นเดียวในไลน์คือ J7 และใช้เครื่องยนต์ไฮบริด2.0ลิตรเกียร์อัตโนมัติ6สปีด เน้นจุดเด่นเรื่องการขับเคลื่อน4 ล้อทั้งนี้เจคู ใช้ในการจำหน่ายในต่างประเทศส่วนในจีนใช้ชื่อรุ่น เณอรี่ Tiggo
ในช่วงแรกที่ทำตลาดเณอรี่จะทำตลาดโดยการนำเข้ารถมาจากจีน (CBU) และเมื่อร่วมโครงการกับภาครัฐในการผลิตชดเชย จะทำการผลิตและส่งออกไปต่างประเทศ
พลิกปูมเณอรี่ กรุ๊ป
จุดเริ่มต้นของ เณอรี่ กรุ๊ป ย้อนไปตั้งแต่ปี 1997 ในชื่อ Anhui Auto Parts Industry ที่ผลิตเครื่องยนต์เป็นหลัก จนกระทั่ง 2 ปีต่อมา ในนามของ Chery Automotive ได้ผลิตรถยนต์ครั้งแรกในวันที่ 18 ธันวาคม 1999 ซึ่งรถรุ่นแรกของ เณอรี่ กรุ๊ป ขายได้ราว 30,000 คัน ในประเทศจีน จากนั้น เณอรี่ กรุ๊ป ก็ได้กลายเป็นที่รู้จักและเปิดตัวต่อสายตาชาวโลกในฐานะองค์กรลูกผสมระหว่างธุรกิจของรัฐและสตาร์ทอัพคนรุ่นใหม่ ซึ่งในปี 2001 เณอรี่ กรุ๊ป ได้เริ่มส่งออกรถยนต์ไปยังต่างประเทศครั้งแรก
ในปี 2007 หลังจากเริ่มจำหน่ายรถยนต์ได้ไม่ถึง 8 ปี เณอรี่ กรุ๊ป ได้จำหน่ายรถไปแล้ว 1ล้านคัน ซึ่งถือเป็นสถิติการพัฒนาที่รวดเร็วที่สุดของจีนและทั่วโลกในอุตสาหกรรมยานยนต์ในขณะนั้น กลายเป็นผู้ผลิตรถยนต์จากจีนที่มีประสิทธิภาพและกำลังการผลิตมากที่สุดอันดับ 7 และขึ้นแท่นเป็นผู้ส่งออกรถยนต์นั่งส่วนบุคคล (passenger car) รายใหญ่ที่สุดของจีน
ในปี 2022 เณอรี่ กรุ๊ป ประสบความสำเร็จอีกขั้น ด้วยยอดขายรถยนต์มากกว่า 1.2 ล้านคัน ส่งออกราว 5 แสนคันทั่วโลก และในปี 2023 บริษัทฯ ได้ตั้งเป้าหมายเกินกว่าอัตราการเติบโตของอุตสาหกรรม โดยคาดว่าจะมียอดขายทะลุ 2 ล้านคันทั่วโลก และในปี 2024 ที่จะถึงนี้ เณอรี่ กรุ๊ป มีเป้าหมายในการขายมากกว่า 3 ล้านคันทั่วโลก พร้อมเปิดตลาดในประเทศอังกฤษ และอเมริกา
ความเคลื่อนไหวตลาดล่าสุดในจีน
ในเดือนพฤศจิกายน 2566 นี้ เณอรี่ กรุ๊ป มียอดขาย 212,076 คัน เพิ่มขึ้น 111% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว โดยเป็นการขายที่ทะลุ 200,000+ คันเป็นครั้งที่2 ในรอบปี และตั้งแต่เดือนมกราคมถึงพฤศจิกายน 2566 เณอรี่มียอดขายรถยนต์รวม 1,665,626 คัน เพิ่มขึ้น 47.8% และรถใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อ เร็วๆ นี้ คือ Fengyun โดยมีรถต้นแบบ 2 รุ่นคือ Fengyun A9 และ Fengyun T11 ที่ได้เปิดตัวสำหรับการทำตลาดทั่วโลก
ชูจุดแข็ง วิจัยและพัฒนา
ข้อแตกต่างสำคัญของ เณอรี่ กรุ๊ป กับแบรนด์รถยนต์สัญชาติจีนอื่น ๆ คือเณอรี่ กรุ๊ปเป็นบริษัทรถยนต์จีนบริษัทแรกที่มี R&D Center ในต่างประเทศ โดยพัฒนาสินค้าให้ตรงกับความต้องการของลูกค้าในทุกภูมิภาคนอกเหนือจากการพัฒนาตลาดอย่างต่อเนื่อง ซึ่งประกอบด้วย เครื่องยนต์ที่เป็นส่วนประกอบหลักของรถ (Engines) ระบบส่งกำลัง (Transmission) และช่วงล่างแชสซี (Chassis) ทำให้ เณอรี่ กรุ๊ป เป็นบริษัทผลิตยานยนต์ที่มีผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและเทคโนโลยีระดับโลก
ตลอดระยะเวลากว่า 2 ทศวรรษ เณอรี่ กรุ๊ป เป็นผู้ส่งออกรถยนต์นั่งส่วนบุคคลอันดับต้น ๆ ของจีน คว้ารางวัล Top 20 Best Overseas Image Enterprises โดย SASAC (State-owned Assets Supervision and Administration Commission) และ CICG (China International Communications Group) จากการคัดเลือก 5 ครั้งติดต่อกัน และในรายงานของ Kantar BrandZเกี่ยวกับ 50 บริษัทผู้ผลิตสัญชาติจีนในปี 2023 เณอรี่ กรุ๊ป คว้าอันดับหนึ่งในหมวดยานยนต์ และจากดัชนีด้านยานยนต์ของ J.D. Power ในปี 2023 เณอรี่ กรุ๊ป ครองตำแหน่งสูงสุดใน IQS (Initial Quality Study) ในบรรดาแบรนด์ต่าง ๆ สัญชาติจีน และรถยนต์ของ เณอรี่ กรุ๊ป ต่างก็ได้รับอันดับหนึ่งในกลุ่มของเซกเมนต์นั้น ๆ
26ปีเณอรี่ ออโตโมบิล
บริษัท เณอรี่ ออโตโมบิล จำกัด ก่อตั้งขึ้นในปี 1997 เป็นแบรนด์ที่อยู่ในประเทศจีน เณอรี่ ก่อตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนาขึ้นในประเทศจีน เยอรมนี สหรัฐอเมริกา และบราซิล นอกจากนี้ ยังได้จัดตั้งทีมวิจัยและพัฒนายานยนต์ระดับโลกที่มีบุคลากรมากกว่า 5,500 คน และก่อตั้งเทคโนโลยีองค์รวมและระบบ R&D ของผลิตภัณฑ์ ด้วยวิธีนี้ เณอรี่ ประสบความสำเร็จในการสร้างแบรนด์ผลิตภัณฑ์ เช่น Arrizo, Tiggoและแบรนด์ EXEED ระดับไฮเอนด์ โดยมียอดขายสะสมทั่วโลกมากกว่า 9.5 ล้าน
เณอรี่ เป็นที่รู้จักในชื่อ “Technological เณอรี่” นับตั้งแต่การก่อตั้งเพื่อที่จะเป็นผู้นำทางเทคโนโลยีเป็นหลัก หลังจากกว่า 20 ปีที่ได้ศึกษาในด้านยานยนต์พลังงานใหม่ เณอรี่ ได้สร้างความเป็นผู้นำด้วยแพลตฟอร์มประกอบรถยนต์4 แห่ง ระบบย่อยทั่วไป5ระบบ และเทคโนโลยีหลัก7ประการ
ในด้านการผลิตอัจฉริยะ เณอรี่ ได้เปิดตัวกลยุทธ์ “เณอรี่ LION” โดยค่อยๆ ศึกษาถึงต้นแบบอัจฉริยะครบวงจรของการวิจัยและพัฒนา การผลิต การตลาด และการบริการ ตลอดจนบรรลุการผลิตจำนวนมากและการเปิดตัว L2.5 เทคโนโลยีการขับขี่อัตโนมัติ สำหรับการขยายตลาดทั่วโลก เณอรี่ เป็นบริษัทรถยนต์แห่งแรกของจีนที่ส่งออกยานยนต์ ชิ้นส่วน CKD เครื่องยนต์ และเทคโนโลยีการผลิตยานยนต์และอุปกรณ์ไปทั่วโลก จนถึงปัจจุบัน เณอรี่ ได้ส่งออกรถยนต์ไปยังกว่า 80 ประเทศและก่อตั้งโรงงานในต่างประเทศ 10 แห่ง และมีตัวแทนจำหน่ายและศูนย์บริการในต่างประเทศมากกว่า 1,500 แห่ง ด้วยผู้ใช้เกือบ 10 ล้านคนทั่วโลก รวมถึงผู้ใช้ 1.95 ล้านคนนอกประเทศจีน เณอรี่ ยังครองอันดับหนึ่งในด้านจำนวนรถยนต์นั่งส่วนบุคคลที่ส่งออกจากประเทศจีนเป็นเวลา 20 ปีติดต่อกัน
