บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ทุบสถิติยอดขายบีเอ็มดับเบิลยู ในปี 2560 โตขึ้น 43% สูงสุดในเครือข่าย บีเอ็มดับเบิลยูทั่วโลก ฉลอง หนี่งปีแห่งความสำเร็จ การประกอบรถยนต์ทะลุหลัก 100,000 คันพร้อมเผยโฉม นวัตกรรมยานยนต์รุ่นใหม่ ทั้งบีเอ็มดับเบิลยู และบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด
Advertisements
(ระยอง 6 มี.ค.61 ) นายสเตฟาน ทอยเชอร์ต ประธาน บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ผู้ผลิตรถยนต์BMW รถจักรยานยนต์BMW และ MINI เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานของ BMW ว่า บีเอ็มดับเบิลยู ประเทศไทยสร้างผลงานน่าประทับใจด้วยตัวเลขอัตราการเติบโต เพิ่มขึ้น 43% สูงที่สุดในเครือข่ายบีเอ็มดับเบิลยูทั่วโลกและบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ยังได้เริ่มต้นศักราช 2561 ด้วยการสร้างสถิติยอดการส่งมอบรวมสูงสุด 816 คันในเดือนม.ค. คิดเป็นอัตราการเติบโต10% ในขณะที่บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด โต 36% ด้วยยอดการส่งมอบ 150 คันในเดือนเดียวกัน
นายทอยเชอร์ต กล่าวต่อไปว่าในส่วนของโรงงานบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป แมนูแฟคเจอริ่ง ซึ่งตั้งอยู่ที่นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ระยอง ได้ฉลองความสำเร็จด้วยการประกอบยนตรกรรมหรูในเครือบีเอ็มดับเบิลยูครบ 100,000 คัน และในปี 2561 นี้ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย จะยังคงเดินหน้าสานต่อวิสัยทัศน์ในการนำเทคโนโลยียานยนต์และประสบการณ์ขับขี่ที่เหนือชั้นและล้ำสมัยมามอบให้กับลูกค้าชาวไทย
รง ผลิตครบ1 แสนคันแรก
“ในขณะที่ นอกจากยอดขายรวมที่ก้าวขึ้นสู่หลักหมื่นเป็นครั้งแรกในปีที่แล้ว ความสำเร็จครั้งสำคัญของเราในการประกอบยนตรกรรมครบ 100,000 คันในประเทศไทย ผมเชื่อมั่นว่า บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย จะต่อยอดความสำเร็จนี้ได้อย่างแข็งแกร่ง ภายใต้การนำของ คริสเตียน วิดมานน์ ผู้รับตำแหน่งประธานคนใหม่ ด้วยการสนับสนุนจากนวัตกรรมการผลิตที่เหนือชั้นและสุดยอดประสบการณ์ในการเป็นเจ้าของรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยู”
“ปี 2561 นี้ จะเป็นปีที่น่าตื่นตาตื่นใจสำหรับแฟนบีเอ็มดับเบิลยูในประเทศไทย ด้วยหลากหลายยนตรกรรมรุ่นใหม่และนวัตกรรมเทคโนโลยีที่จะเข้าสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง” นายสเตฟาน กล่าว และว่า วันนี้ BMW ได้ประกาศถึงการเดินหน้าเสริมความแข็งแกร่งของกลยุทธ์แห่งอนาคต ที่ได้ขับเคลื่อนบีเอ็มดับเบิลยูในฐานะผู้นำตลาดยานยนต์พรีเมียมมาโดยตลอด ไม่เฉพาะในแง่ของประสิทธิภาพบนท้องถนนเท่านั้น แต่รวมถึงในฐานะผู้นำแห่งนวัตกรรมล้ำสมัยด้วยเช่นกัน
Advertisements
เดินหน้าผลิตแบตเตอรี่ไฮบริด
โรงงานบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป แมนูแฟคเจอริ่ง ประเทศไทย จังหวัดระยอง ก้าวสู่อีกหนึ่งหลักชัยแห่งความสำเร็จ ด้วยการประกอบยนตรกรรมบีเอ็มดับเบิลยู มินิ และบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด ครบ 100,000 คัน ก่อนก้าวเข้าสู่ปีที่ 18 ของการผลิต โดยในอนาคต โรงงานแห่งนี้จะขยายศักยภาพการผลิตภายใต้กลยุทธ์ที่มุ่งเสริมความแข็งแกร่งของทรัพยากรบุคคลและความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง
ตลอดปี พ.ศ. 2561 นี้ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป แมนูแฟคเจอริ่ง ประเทศไทย จะมุ่งสร้างรากฐานเพื่ออนาคตด้วยโปรแกรมอบรมและพัฒนาบุคลากรเพื่อการประกอบแบตเตอรี่แรงดันสูง (HVB) โดยพนักงานจากโรงงานแห่งนี้จะได้เข้าร่วมการอบรมซึ่งจะจัดขึ้นที่ประเทศเยอรมนี ภายใต้ความดูแลของผู้เชี่ยวชาญระดับโลกจากบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป เพื่อพัฒนาทักษะพิเศษสำหรับการประกอบแบตเตอรี่สุดไฮเทคนี้ โปรแกรมอบรมทักษะพิเศษนี้จะครอบคลุมทั้งความรู้เกี่ยวกับอุปกรณ์และกระบวนการที่ล้ำหน้าต่างๆ เช่น การเชื่อมด้วยเลเซอร์ การเตรียมพื้นผิววัสดุด้วยพลาสมา วิทยาการหุ่นยนต์ และการทดสอบไฟฟ้าแรงสูง โดยก่อนหน้านี้ มีพนักงานจำนวนหนึ่งที่ได้เข้ารับการอบรมภายใต้หลักสูตรนี้ในประเทศเยอรมนี จนสำเร็จหลักสูตรเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“หนึ่งในเสาหลักของกลยุทธ์ระดับโลกของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป คือมุ่งสู่การใช้พลังงานไฟฟ้า ซึ่งบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป แมนูแฟคเจอริ่ง ประเทศไทย พร้อมเดินหน้าสู่เป้าหมายนี้อย่างเต็มที่เช่นกัน” นายเจฟฟรีย์ กอดิอาโน กรรมการผู้จัดการและประธานบริหาร บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป แมนูแฟคเจอริ่ง ประเทศไทย กล่าวและว่า หลังจากประกอบรถยนต์ปลั๊กอิน ไฮบริด สำเร็จไปถึง 4 รุ่น ก้าวต่อไปของเราคือการเตรียมความพร้อมสำหรับแบตเตอรี่แรงดันสูง พร้อมด้วยเทคโนโลยีล้ำยุคอื่นๆ ภายในปี 2562
นอกจากแบตเตอรี่แรงดันสูงแล้ว บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป แมนูแฟคเจอริ่ง ประเทศไทย ยังเปิดตัวนวัตกรรมเทคโนโลยีอีกหลายชนิด เพื่อยกระดับความเชี่ยวชาญ คุณภาพ และความประณีตในสายการผลิต ไม่ว่าจะเป็นกระบวนการผลิตแบบ Additive Manufacturing หรือการพิมพ์แบบสามมิติ เพื่อการผลิตชิ้นส่วนตามความต้องการเฉพาะของลูกค้า หรือการนำหุ่นยนต์มาใช้งานในโรงงาน เพื่อพัฒนาระบบสนับสนุนการผลิตที่ยืดหยุ่นมากยิ่งขึ้น เทคโนโลยีเสมือนจริงแบบ 3D และ AR ช่วยสร้างสิ่งแวดล้อมในการทำงานที่มีความล้ำสมัยให้แก่เจ้าหน้าที่ฝ่ายผลิต โดยจะช่วยลดปริมาณงานที่ต้องใช้กำลังมากหรืออาจก่อให้เกิดปัญหาทางสรีระลง ทั้งยังเพิ่มโอกาสให้เจ้าหน้าที่สามารถใช้ทักษะ
ความเชี่ยวชาญของตนให้ถึงขีดสุด
ตลอดปี พ.ศ. 2561 นี้ โรงงานบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป แมนูแฟคเจอริ่ง ประเทศไทย จะสานต่อการลงทุนในด้านทรัพยากรบุคคลอย่างต่อเนื่อง นายเจฟฟรีย์ กล่าวว่า ภายใต้การริเริ่มโครงการการศึกษาระบบทวิภาคี ที่มุ่งเน้นการสร้างเสริมความรู้ความสามารถในด้านวิศวกรรมเมคคาทรอนิกส์ (Mechatronics) ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2558 ร่วมกับวิทยาลัยเทคนิคสัตหีบ และโรงเรียนจิตรลดา (สายวิชาชีพ) เราได้ผสานการศึกษาเทคโนโลยีแห่งอนาคตเข้าไปในหลักสูตรพื้นฐาน เช่น การประกอบแบตเตอรี่แรงดันสูง เป็นต้น นอกจากการศึกษาเทคโนโลยีสำหรับงานด้านวิศวกรรมเมคคาทรอนิกส์ และเทคโนโลยีการควบคุมการทำงานของเครื่องจักรกล (CNC) การออกแบบชิ้นส่วน (CAD) รวมทั้งการผลิต (CAM) โดยใช้คอมพิวเตอร์ เรายังร่วมมือกับบัณฑิตวิทยาลัยวิศวกรรมศาสตร์นานาชาติสิรินธร ไทย-เยอรมัน (TGGS) เพื่อฝึกสอนการเขียนโปรแกรมสำหรับรถลำเลียงสินค้าอัตโนมัติ (Automated Guide Vehicle) และเทคโนโลยีแบตเตอรี่รถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด โดยโครงการเหล่านี้ถือเป็นการเสริมศักยภาพของประเทศไทย ในฐานะศูนย์กลางการผลิตยานยนต์ของภูมิภาคอาเซียน
ในขณะเดียวกันโรงงานที่ระยองแห่งนี้ยังคงเดินหน้าสู่เป้าหมายเพื่อความยั่งยืนอย่างไม่หยุดยั้ง หลังจากที่ได้ประสบความสำเร็จในการไม่ทิ้งวัสดุเหลือใช้สู่สิ่งแวดล้อม (Zero waste) ในปี 2559 การนำเทคโนโลยีพลังงานทางเลือกมาปฏิบัติใช้ เพื่อสนับสนุนให้เกิดการผลิตพลังงานไว้ใช้เอง ยังช่วยสนับสนุนเป้าหมายด้านความยั่งยืนในระยะยาวทั่วพื้นที่โดยรอบของโรงงานอีกด้วย
ไฟแนนเชียล เซอร์วิส
ปี พ.ศ. 2560 ที่ผ่านมา ถือเป็นอีกหนึ่งปีสำคัญสำหรับบีเอ็มดับเบิลยู ไฟแนนเชียล เซอร์วิส ประเทศไทย เช่นกัน โดยหนึ่งในความสำเร็จอันโดดเด่นในปีที่ผ่านมา คือการเปิดตัว BMW FREEDOM CHOICEบริการผลิตภัณฑ์ทางการเงินใหม่ ที่มาพร้อมการรับประกันมูลค่ารถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูในอนาคตตั้งแต่วันแรกของระยะเวลาสัญญา เปิดทางเลือกให้แก่ลูกค้าในการจัดการกับรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูเมื่อสิ้นสุดระยะเวลาสัญญา ไม่ว่าจะเป็นการเลือกเป็นเจ้าของรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูอย่างสมบูรณ์แบบ หรือการเริ่มต้นสัญญาใหม่สำหรับรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูคันใหม่
“ความร่วมมือทางธุรกิจอันแข็งแกร่งจากทุกหน่วยงานในบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย รวมทั้งเครือข่ายผู้จำหน่ายของเรา เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เราสามารถสร้างผลงานอันน่าประทับใจได้ในปีที่ผ่านมา”นายบียอร์น แอนทอนส์สัน ประธานกรรมการบริหาร บีเอ็มดับเบิลยู ไฟแนนเชียล เซอร์วิส ประเทศไทยกล่าว มูลค่าสินเชื่อในพอร์ตโดยรวมของเรา ถือว่าสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ในปี 2560 ที่มูลค่า 4.04หมื่นล้านบาท ในขณะที่ยอดสินเชื่อลูกค้าใหม่ของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ก็เพิ่มขึ้นถึง 22% หรือคิดเป็นมูลค่ามากกว่า 1.25 หมื่นล้านบาทในปีที่ผ่านมา ในปี พ.ศ. 2561 นี้ บริษัท ตั้งใจสานต่อความสำเร็จดังเช่นที่ผ่านมา ด้วยบริการทางการเงินใหม่ ๆ เช่นเดียวกับการเปิดตัว BMW FREEDOM CHOICE ในปีที่แล้ว
นอกจากนี้ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ยังคงสานต่อเจตนารมณ์ในการมอบการเข้าถึงน้ำสะอาดให้แก่คนไทยที่ขาดแคลน ผ่านโครงการแคร์ ฟอร์ วอเตอร์ ภายใต้ความร่วมมือกับผู้แทนจำหน่ายบีเอ็มดับเบิลยูอย่างเป็นทางการ และองค์กรไม่แสวงหากำไรสัญชาติอเมริกา Waves For Water เป้าหมายหลักของโครงการแคร์ ฟอร์ วอเตอร์ คือการยกระดับคุณภาพชีวิต มอบวิถีชีวิตที่ดีขึ้น และรับมือกับปัญหาสุขภาพต่าง ๆ โดยการมอบการเข้าถึงน้ำสะอาดอย่างยั่งยืนให้แก่ชุมชนที่ขาดแคลน รวมถึงการส่งเสริมให้ชาวบ้านเข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงประโยชน์ของน้ำสะอาด และฝึกฝนชาวบ้านให้มีความเชี่ยวชาญในการติดตั้งและบำรุงรักษาเครื่องกรองน้ำเพื่อการใช้งานในระยะยาว
ในปีที่แล้ว บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย และเ
ครือข่ายผู้แทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ ได้ร่วมกันส่งมอบเครื่องกรองน้ำกว่า 3,434 ชุด ให้แก่ 38 ชุมชนที่ขาดแคลนน้ำสะอาดในประเทศไทย โดย
เครื่องกรองน้ำหนึ่งเครื่องสามารถผลิตน้ำสะอาดสำหรับ 100 คนต่อวัน จึงเท่ากับว่า บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ได้มอบน้ำสะอาดให้แก่ชาวบ้านแล้วถึง 343,400 คน และอาสาสมัครจากบริษัทฯ ยังได้กลับไปเยี่ยมชุมชนที่ได้รับบริจาคเครื่องกรองน้ำในปีที่ผ่านมา เพื่อสร้างความมั่นใจว่าชาวบ้านมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างแท้จริง
“สิ่งเหล่านี้ เป็นข้อพิสูจน์ว่าบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย มีความมุ่งมั่นที่จะเดินหน้าไปสู่ความสำเร็จพร้อมกับคนไทย” มร. บียอร์น แอนทอนส์สันกล่าว
Advertisements