The new E–Class: (Launch Edition) เป็นการปรับโฉมแบบAll New ซึ่งพัฒนาการมาจนถึง เจเนอเรชั่นที่ 10
เมอร์เซเดส-เบนซ์ เปิดตัวในประเทศไทย อย่างเป็นทางการในงาน บางกอกอินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 45 (Motor Show 2024) ในฐานะรุ่นโฉมใหม่แต่เรียกว่า รุ่นพิเศษคือ(Launch Edition) ซึ่งทำการจำหน่ายแบบล่วงหน้าโดยรถโชว์ในงานเป็นรถนำเข้า (CBU) ส่วนรถยนต์ขายจริงที่เปิดจอง เป็นการประกอบในประเทศ (CKD) Launch Edition- คือการการันตรีออฟชั่น สำคัญว่าหากจองรถตอนนี้จะได้ออฟชั่นเดียวกับรถโชว์ The new E–Class: เจน 10 มี 2 ตัวเลือกเบื้องต้น 2แบบเครื่องยนต์ คือ เครื่องยนต์ดีเซล E 220 d AMG Line และเบนซินปลั๊ก-อิน ไฮบริด E 350 e AMG Dynamic
ในปี 2024 นี้ รถยนต์ระดับพรีเมี่ยมจากเมอร์เซเดส-เบนซ์ เอ-คลาส (E-Class) ได้รับการปรับโฉมใหม่อย่างสมบูรณ์แบบในรุ่นที่ 10 ซึ่งเป็นก้าวที่สำคัญที่ยืนยันให้เห็นถึงความตั้งใจและความมุ่งมั่นในการยกระดับมาตรฐานของรถยนต์ระดับอีกสักขั้นตอนหนึ่ง พร้อมทั้งการเป็นตัวแทนของความสวยงามและเทคโนโลยีที่ทันสมัยในวงการยานยนต์
ความเป็นมาของ E-Class
เมื่อกล่าวถึงเมอร์เซเดส-เบนซ์ E-Class ต้องย้อนกลับไปในปี 1953 ที่มี E-Class ในรูปแบบของรถบริหารกลางขนาดใหญ่เป็นรุ่นแรกเกิดขึ้น โดยมีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า “W120” หรือในชื่อที่รู้จักกันในนามของ “อี-คลาส” (E-Class) เมื่อเริ่มต้นใช้เนื่องจากการตั้งชื่อที่นับรุ่นและระดับของ Mercedes-Benz ในอดีต
ตั้งแต่นั้นไป E-Class กลายเป็นสัญลักษณ์ที่ไม่เคยสูญเสียความสำคัญของมัน มีการพัฒนาและปรับปรุงให้เป็นที่ประจักษ์ของความสง่างามและความหรูหราในวงการรถยนต์ระดับสูง ซึ่ง E-Class ตลอดเวลามีการอัพเกรดทั้งด้านดีไซน์ ความสมบูรณ์ และเทคโนโลยีที่ใช้ในรถยนต์ ทำให้เป็นตัวแทนที่เหนือกว่าในกลุ่มรถยนต์หรูหรา
Mercedes-Benz ยกระดับสมรรถนะของรถยนต์เพื่อตอบสนองความต้องการและความคาดหวังของลูกค้าในยุคปัจจุบัน
E-Class เจเนเรชั่นที่ 10
เมื่อเข้าสู่เจเนเรชั่นที่ 10 ของ E-Class ความสำคัญและความเป็นที่ตั้งของตนก็ยังคงเด่นชัด โดยเฉพาะในการอัพเกรดเทคโนโลยีที่เป็นเอกลักษณ์ของ Mercedes-Benz และการยกระดับสมรรถนะของรถยนต์เพื่อตอบสนองความต้องการและความคาดหวังของลูกค้าในยุคปัจจุบัน
เจเนเรชั่นใหม่ของ E-Class ยังคงความเป็นเอกลักษณ์ที่สามารถรับรู้ได้จากดีไซน์ที่ดึงดูดและสมบูรณ์แบบ โดยมีการปรับปรุงให้เหมาะสมกับแนวโน้มที่มุ่งหวังให้รถยนต์มีสไตล์ชีวิตที่ดีขึ้น นอกจากนี้ การใช้เทคโนโลยีใหม่ล่าสุดที่ช่วยให้ระบบขับขี่และความปลอดภัยที่เหนือชั้น อย่างเช่นระบบขับขี่อัตโนมัติระดับสูงและระบบความปลอดภัยที่พร้อมสนับสนุนการขับขี่ที่ปลอดภัยมากยิ่งขึ้น
เมอร์เซเดส-เบนซ์ E-Class เจเนเรชั่นที่ 10 ไม่เพียงแต่เป็นการอัพเกรดเทคโนโลยีและสมรรถนะของรถยนต์ แต่ยังเป็นการยืนยันถึงความเชื่อมั่นและความมุ่งมั่นของเมอร์เซเดส-เบนซ์ที่จะยึดมาตรฐานสูงสุดในการสร้างรถยนต์ที่เหนือกว่าและหรูหราที่สุดในโลกใบนี้
การนำเสนอยนตรกรรมระดับไอคอนของแบรนด์ E–Class เจเนเรชั่นที่ 10 “The new E–Class : Launch Edition” มาในรุ่นพิเศษประเดิมการเปิดตัวในไทย โดย Launch Edition เสนอขายแบบจำกัดจำนวน
ราคาจำหน่าย The new E–Class Launch Edition
E 220 d AMG Line:
- ราคาจำหน่าย: 3,990,000 บาท
- สีที่มีให้เลือก:
- สีขาว Polar White
- สีดำ Obsidian Black
- สีเงิน High-tech Silver
- สีเทา Manufaktur Alpine Grey Solid
E 350 e AMG Dynamic:
- ราคาจำหน่าย: 4,250,000 บาท
- สีที่มีให้เลือก:
- สีขาว Polar White
- สีดำ Obsidian Black
- สีเงิน High-tech Silver
- สีเทา Graphite Grey
The new E–Class มาพร้อมรหัสตัวถัง W214 ชูความเป็นเลิศของ Business Saloon สุดหรูที่มาพร้อมรูปลักษณ์ที่แตกต่างจากเดิมในทุกองศาและขนาดตัวถังที่ใหญ่ขึ้นในทุกมิติ เพื่อตอบโจทย์ทุกความทันสมัยภายใต้คอนเซ็ปต์ “EVOLVES WITH YOU”
สเปค E 220 d AMG Line
ในด้านสมรรถนะ E 220 d AMG Line ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ 2.0 ลิตร 1,993 ซีซี มอบกำลังแรงม้าสูงสุด 197 แรงม้าที่ 3,600 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 440 นิวตันเมตรที่ 1,800–2,800 รอบต่อนาที สามารถทำอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. เพียง 7.6 วินาที ทำงานร่วมกับ 48V Electrical System (ISG2) 23 แรงม้า 205 นิวตันเมตร จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะ (9G–TRONIC)
สเปคE 350 e AMG Dynamic
ขณะที่ E 350 e AMG Dynamic ผสานขุมพลังการขับเคลื่อนในรูปแบบรถปลั๊ก-อินไฮบริด ผ่านเครื่องยนต์ 2.0 ลิตร เทอร์โบแบบ 4 สูบแถวเรียง เมื่อเครื่องยนต์ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าทั้งระบบ มอบกำลังแรงม้ารวมสูงสุด 313 แรงม้า แรงบิดรวมสูงสุด 550 นิวตันเมตร มาพร้อมระบบส่งกำลังแบบ 9G–TRONIC สามารถทำอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. เพียง 6.5 วินาที
ในด้านของแหล่งพลังงาน 350 ติดตั้งแบตเตอรี่แรงดันสูงที่มีความจุ 25.4 kWh ช่วยให้สามารถขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้าได้ไกลมากกว่า 100 กิโลเมตรต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้งตามมาตรฐาน WLTP รองรับการชาร์จพลังงานไฟฟ้าแบบกระแสตรง (DC Charge) สูงสุด 55 kWh ใช้เวลาชาร์จจาก 0–100% เพียง 30 นาที ส่วนการชาร์จแบบกระแสสลับ (AC Charge) รองรับสูงสุด 11 kWh ใช้เวลาชาร์จจาก 0–100% ในระยะเวลา 2 ชั่วโมง 30 นาที
ทั้ง 2 โมเดลมาพร้อมดีไซน์การออกแบบรอบคันด้วย AMG Bodystyling ที่มอบความดุดันตามแบบฉบับของ AMG พร้อมระบบปิดประตูแบบ Soft Close
รูปแบบและระบบนำสมัย
ทางด้านของ E 220 d AMG Line มาพร้อมไฟหน้า LED high-performance ทำงานร่วมกับระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ Adaptive Highbeam Assist มอบความสะดวกสบายด้วย KEYLESS–GO Comfort Package ที่สามารถควบคุมด้วยระบบดิจิทัลผ่านสมาร์ทโฟน ช่วงล่างติดตั้งล้ออัลลอยดีไซน์สปอร์ตขนาด 19 นิ้ว ผสานการทำงานร่วมกับระบบกันสะเทือนแบบ AGILITY CONTROL ช่วยซับแรงกระแทก และทำให้การขับขี่มีความนุ่มนวลยิ่งขึ้น
ขณะที่ E 350 e AMG Dynamic โดดเด่นด้วยกระจังหน้าแบบเรืองแสง ติดตั้งไฟหน้า DIGITAL LIGHT และระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ Adaptive Highbeam Assist Plus ช่วยเสริมความปลอดภัยในการขับขี่และการโดยสารในทุกเส้นทางด้านบนมีการติดตั้งหลังคาพาโนรามิคซันรูฟเลื่อนเปิด-ปิด ด้วยระบบไฟฟ้าและยกระดับเทคโนโลยีด้วย Heat and Noise–insulting Acoustic Glass ช่วยสะท้อนความร้อน ป้องกันรังสีอินฟาเรด และเสียงสะท้อนจากภายนอกปิดท้ายด้วยล้ออัลลอยดีไซน์สปอร์ตจาก AMG ขนาด 20 นิ้วที่ออกแบบให้มีการลดอากาศหมุนวนบริเวณด้านข้างล้อ เพื่อทุกการขับขี่ที่เต็มไปด้วยสุนทรียภาพและความปลอดภัยขั้นสูง
ความพิเศษคือ ระบบเสียงรอบทิศทาง Burmester 4D Surround Sound System พร้อมลำโพง 21 ตัว
ห้องโดยสารเกรด เอเอ็มจี
ภายในห้องโดยสารของทั้ง 2 รุ่นมีการตกแต่งแบบ AMG Interior Package ที่เน้นความสปอร์ตแต่ยังคงความหรูหราตามแบบฉบับของเมอร์เซเดส-เบนซ์ควบคุมทิศทางการขับขี่ด้วยพวงมาลัย Multifunction Sports Steering เสริมความลักชัวรี่ด้วยเบาะหนังสีดำ มาพร้อมระบบปฏิบัติการ MBUX เจเนอเรชั่นที่ 3 พร้อมกล้อง Selfie สำหรับการประชุมงานหรือเพิ่มความบันเทิงติดตั้งจอ MBUX Superscreen ขนาดใหญ่พิเศษ 14.4 นิ้ว
บริเวณแผงคอนโซลกลาง และจอขนาด 12.3 นิ้ว บริเวณผู้โดยสารตอนหน้า
ตอบโจทย์ทุกการใช้งานอย่างครบครันโดยมีการปรับปรุงให้สามารถรับ-ส่งข้อมูลออนไลน์ได้อย่างรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น พร้อมระบบ AI ที่จะเรียนรู้และปรับฟังก์ชั่นต่าง ๆ ของรถยนต์ให้เข้ากับพฤติกรรมและรสนิยมของผู้ขับขี่ ทั้งยังติดตั้งระบบปรับอากาศ ENERGIZING AIR CONTROL ที่สามารถปรับทิศทางลมได้อย่างอิสระ และฟังก์ชั่นอื่น ๆ ที่พร้อมจะมอบความสะดวกสบายอันเหนือระดับไว้อย่างเต็มพิกัด
ที่สุดเทคโนโลยีความบันเทิง
ด้านเทคโนโลยี และความบันเทิง E 220 d AMG Line โดดเด่นด้วยไฟเรืองแสง Ambient Lightning Plus กว่า 64 เฉดสีที่จะเปลี่ยนบรรยากาศของห้องโดยสารได้อย่างรื่นรมย์ ทั้งยังมีการติดตั้งระบบ MBUX Augmented Reality สําหรับแผนที่นําทาง
ระบบความปลอดภัย Driving Assistance Package Plus ทั้ง 2รุ่นครบครัน ตามมาตรฐานของเมอร์เซเดส-เบนซ์
นอกจากนี้ E 350 e AMG Dynamic มาพร้อม Digital Vent Control ช่องแอร์ที่ปรับการทำงานด้วยระบบไฟฟ้าเพื่อให้มีการหมุนเวียนอากาศเสมือนมีลมธรรมชาติภายในห้องโดยสาร พร้อมเทคโนโลยี Head–up display ให้ผู้ขับขี่สามารถเห็นข้อมูลการขับขี่โดยไม่ต้องละสายตาจากท้องถนนทั้งยังมอบความพิเศษด้วยระบบเสียงรอบทิศทาง Burmester 4D Surround Sound System (ระบบนี้ถูกติดตั้งใน S-Class)พร้อมลำโพง 21 ตัว ผสานการทำงานร่วมกับเทคโนโลยี Dolby Atmos ให้ผู้ขับขี่ และผู้โดยสารได้ฟังเสียงอย่างคมชัดสมจริงราวกับนั่งอยู่ในโรงภาพยนตร์ และไฟรอบห้องโดยสารแบบ Active Ambient Lighting ที่สามารถปรับแสงสีในห้องโดยสารให้เป็นไปตามจังหวะเพลงให้ทุกการเดินทางเต็มไปด้วยความเพลิดเพลินในทุกอารมณ์
E 350 e AMG Dynamic ติดตั้งระบบความปลอดภัย Driving Assistance Package Plus ในรถยนต์ทั้ง 2 รุ่นอย่างครบครันตามมาตรฐานของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ทั้งระบบรักษาระยะห่างจากรถด้านหน้าและควบคุมความเร็วอัตโนมัติ (Active Distance Assist DISTRONIC) ระบบช่วยเบรกอัตโนมัติ (Active Brake Assist) ระบบพวงมาลัยช่วยผ่อนแรงหักหลบสิ่งกีดขวางระยะกระชั้นชิด (Evasive Steering Assist) ระบบรักษารถให้อยู่ในช่องทางจราจร (Active Lane Keeping Assist) และระบบช่วยเตือนเมื่อมีรถอยู่ในจุดอับสายตา (Active Blind Spot Assist) เป็นต้น