โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด แถลงสถิติการจำหน่ายรถยนต์ครึ่งแรกของปี 2563 พร้อมประมาณการตลาดรถยนต์ไทยปี 2563 ผ่านทางออนไลน์โดยคาดว่ายอดขายรวมของตลาดรถ ทุกประเภท ลดลงต่ำกว่าเป้าหมายประมาณการต้นปี 29.79%
นายซึงาตะ ประธานบริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายรถยนต์โตโยต้า แถลงผ่านออนไลน์ วันนี้(27 ก.ค.63) ว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 ส่งผลต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศและระดับโลก ทำให้ตลาดรถยนต์ในประเทศและส่งออกหดตัวในช่วงไตรมาส 1 และต่อเนื่องถึงไตรมาส 2 ทั้งนี้จากการผ่อนปรนให้ธุรกิจสามารถกลับมาดำเนินงานได้อย่างต่อเนื่องภายใต้มาตรการที่ภาครัฐกำหนด มีการคาดการณ์ว่าในช่วงครึ่งหลังของปี 2563 เศรษฐกิจจะมีแนวโน้มที่ดีขึ้น
สถานการณ์รถยนต์ครึ่งแรกปี63
ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา เดิมมีการคาดการณ์ตลาดรวมในประเทศของปี 2563 อยู่ที่ 940,000 คัน ภาคธุรกิจยานยนต์ของประเทศไทยนั้น ได้รับผลกระทบที่ถือว่าไม่รุนแรงเท่ากับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคอาเซียน และการฟื้นตัวของประเทศไทยดูจะรวดเร็วกว่า ดังนั้น แม้เราอาจจะยังไม่ควรที่จะประเมินสถานการณ์ให้สูงจนเกินไป บริษัทจึงได้ปรับตัวเลขคาดการณ์ยอดขายรถยนต์โดยรวมในปี 2563 เป็น 660,000 คัน คิดเป็น 65% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา
“แนวโน้มของตลาดรถยนต์ไทยน่าจะไปในทิศทางที่ดี และสถานการณ์จะไม่แย่เท่ากับที่เคยคาดการณ์ไว้ ซึ่งผมหวังว่าประเทศไทยจะเป็นผู้นำในการฟื้นตัวให้กับทวีปเอเชียทั้งหมดในช่วงเวลาที่เหลือของปีนี้ นอกจากแนวโน้มเชิงบวกที่เห็นได้จากยอดจำหน่ายรายเดือนแล้ว ประเทศไทยยังประสบความสำเร็จในการจัดงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 41 ซึ่งในขณะนี้มีผู้สนใจเข้าเยี่ยมชมงานเป็นจำนวนมาก”นายซึงาตะกล่าว
ชี้ตลาดไทยเริ่มฟื้นตัว
นายซึงาตะ กล่าวเพิ่มเติมว่า หลังผ่านสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และ การหยุดสายการผลิตเป็นการชั่วคราวไปแล้วนั้น ตลาดรถยนต์ของไทยในช่วงไตรมาสที่ 2 ลดลงไปที่ประมาณ 128,500 คัน คิดเป็น 49% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยโตโยต้ามียอดขายอยู่ที่ 38,100 คัน หรือคิดเป็น 45% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ในทางกลับกันหากเราพิจารณาถึงยอดจำหน่ายรายเดือนของช่วงไตรมาสที่ 2 จะเห็นได้ว่าตลาดกำลังอยู่ในช่วงค่อยๆฟื้นตัว อันเป็นผลจากการที่รัฐบาลได้ทยอยออกมาตรการผ่อนคลายต่างๆ ส่งผลให้ผู้บริโภคเริ่มกลับมามีความเชื่อมั่นมากยิ่งขึ้น”
โตโยต้าทำยอดขาย56,200 คัน
ทั้งนี้ นับตั้งแต่กลางเดือนมีนาคมเป็นต้นมา จากการที่เชื้อไวรัสโควิด-19 ได้แพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ความต้องการของตลาดลดลงอย่างฉับพลัน ทั้งตลาดรถยนต์ในประเทศและตลาดการส่งออก ทำให้สภาวะการดำเนินธุรกิจของประเทศไทยโดยรวมนั้น มีความแตกต่างออกไปจากแผนที่เราคาดการณ์ไว้โดยสิ้นเชิง
สำหรับโตโยต้า จำเป็นต้องประกาศหยุดสายการผลิตชั่วคราวตั้งแต่วันที่ 7 เมษายน63จนถึงช่วงกลางเดือนพฤษภาคม63 ประกอบกับลูกค้าที่เข้ามาเยี่ยมชมโชว์รูมผู้แทนจำหน่ายฯมีปริมาณลดลง อย่างไรก็ดี ในช่วงเวลาที่ต้องหยุดสายการผลิตชั่วคราวนั้น พนักงานยังคงทำงานอย่างต่อเนื่อง และได้ใช้ช่วงเวลาดังกล่าวเป็นโอกาสในการซ่อมบำรุงเครื่องจักรและเครื่องไม้เครื่องมือต่างๆ รวมถึงการพัฒนาทักษะและความสามารถของพนักงาน โดยให้มีการสลับกันเข้ามาปฏิบัติงานอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันสำหรับพนักงานสายสำนักงาน เราจัดให้มีการทำงานจากที่บ้านให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
เช่นเดียวกันกับผู้แทนจำหน่ายโตโยต้าทั้ง 155 แห่งทั่วประเทศ ที่พยายามรักษาสถานะการจ้างงานของพนักงานทุกคน โดยพนักงานขายและพนักงานที่ทำหน้าที่ดูแลหลังการขายได้ใช้ช่องทางออนไลน์และโซเชียลมีเดียในการติดต่อลูกค้า พร้อมเชิญลูกค้านำรถยนต์เข้ามาซ่อมบำรุงที่ศูนย์บริการหรือจัดให้มีบริการซ่อมบำรุงแบบเคลื่อนที่ เพื่อเป็นอีกหนึ่งทางเลือกให้ลูกค้าสามารถดูแลรักษารถยนต์ของตนเองได้ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดนี้
สถิติการขายรถยนต์ ม.ค. – มิ.ย. 2563
ปริมาณการขายรวม |
328,604 คัน |
ลดลง 37.3% |
รถยนต์นั่ง |
119,716 คัน |
ลดลง 42.0% |
รถเพื่อการพาณิชย์ |
208,888 คัน |
ลดลง 34.2% |
รถกระบะ 1 ตัน (รวมรถกระบะดัดแปลง) |
166,409 คัน |
ลดลง 35.6% |
รถกระบะ 1 ตัน (ไม่รวมรถกระบะดัดแปลง) |
149,432 คัน |
ลดลง 33.7% |
สถิติการขายรถยนต์ของโตโยต้า ม.ค. – มิ.ย. 2563
ปริมาณการขายโตโยต้า |
94,222 คัน |
ลดลง 45.1% |
ส่วนแบ่งตลาด 28.7% |
รถยนต์นั่ง |
29,926 คัน |
ลดลง 50.4% |
ส่วนแบ่งตลาด 25.0% |
รถเพื่อการพาณิชย์ |
64,296 คัน |
ลดลง 42.2% |
ส่วนแบ่งตลาด 30.8% |
รถกระบะ 1 ตัน (รวมรถกระบะดัดแปลง) |
56,265 คัน |
ลดลง 43.3% |
ส่วนแบ่งตลาด 33.8% |
รถกระบะ 1 ตัน (ไม่รวมรถกระบะดัดแปลง) |
49,622 คัน |
ลดลง 41.5% |
ส่วนแบ่งตลาด 33.2% |
นายซึงาตะ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับโตโยต้า ในช่วงครึ่งปีแรกนั้นบริษัทได้ปรับแผนการดำเนินงานทั้งในส่วนของการผลิตและการขาย เพื่อให้มั่นใจได้ว่ารถยนต์รุ่นใหม่ ๆ ของเราสามารถแนะนำออกสู่ตลาดได้ในช่วงเวลาที่เหมาะสม ดังนั้น ในช่วงครึ่งปีหลังจากนี้ เราจะเร่งเดินหน้าทำการตลาดอย่างเต็มที่ โดยมีผลิตภัณฑ์รุ่นใหม่ ๆ ของเราเป็นตัวขับเคลื่อน ซึ่งเมื่อเดือนที่ผ่านมา เราได้เปิดตัวรถยนต์ไฮลักซ์ รีโว่ใหม่ และฟอร์จูนเนอร์ใหม่ ภายใต้แนวคิด “Unbeatable” หรือ “พลังแกร่งเหนือนิยาม” เพื่อสะท้อนภาพลักษณ์อันแข็งแกร่งของประเทศไทยและคนไทย ดังที่พิสูจน์ได้จากความสามารถในการควบคุมสถานการณ์การระบาดของโรคได้ โดยผลิตภัณฑ์ใหม่ของเราทั้ง 2 รุ่นนี้ ได้รับการชื่นชมในเชิงบวกจากลูกค้า ซึ่งเราหวังว่าการเดินหน้าเพิ่มกำลังการผลิตจะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ช่วยกระตุ้นยอดขายให้สูงขึ้นไปอีก
นอกจากนี้ เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา โตโยต้าได้ทำการเปิดตัวรถยนต์อเนกประสงค์รุ่นใหม่ล่าสุด “โคโรลล่า ครอส” ออกสู่ตลาดเป็นครั้งแรก ภายใต้สโลแกน “A New Journey” หรือ “ให้ชีวิตเดินทาง” โดยรถยนต์รุ่นนี้ถือเป็นปรากฏการณ์ใหม่ของเรา ในฐานะที่เป็นรถยนต์ในเซกเมนต์ที่โตโยต้าไม่เคยทำตลาดมาก่อน พร้อมกันนี้ ผมขอแจ้งให้ทราบเพิ่มเติมว่า เราได้ติดตั้งแอพพลิเคชั่น T-Connect ในรถยนต์รุ่นใหม่ทั้งสามรุ่นดังกล่าว โดยนี่ถือเป็น “ระบบการเชื่อมต่ออัจฉริยะ” โครงการแรกของโตโยต้าในเอเชีย ซึ่งเกิดจากการพัฒนาร่วมกันระหว่าง บริษัท โตโยต้า และกลุ่มผู้ผลิตชิ้นส่วนโตโยต้าภายในประเทศไทย ทั้งนี้ เทคโนโลยี T-Connect มอบฟังก์ชั่นการใช้งานที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นระบบติดตามเมื่อเกิดการโจรกรรม การค้นหาตำแหน่งรถ และบริการผู้ช่วยส่วนตัว
ยิ่งไปกว่านั้น เรายังเป็นรายแรกในประเทศไทยที่นำเสนอประกันภัยรูปแบบใหม่ล่าสุดภายใต้ชื่อ “ขับดีลดให้” หรือ “Toyota Care Pay How You Drive – PHYD” ซึ่งจะติดตามพฤติกรรมการขับขี่ผ่านเทคโนโลยี T-Connect กรณีที่ผู้ขับมีพฤติกรรมการขับขี่ที่ดี ก็จะได้รับส่วนลดเบี้ยประกันภัยในปีที่ 2 เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าประกันภัย “ขับดีลดให้” นี้จะเป็นแรงจูงใจที่ดีในการผลักดันให้เกิดสังคมแห่งการขับขี่ปลอดภัยและช่วยลดจำนวนอุบัติเหตุในประเทศไทย
จากการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่หลากหลายรุ่นนั้น ส่งผลให้เราปรับเป้าหมายยอดจำหน่ายรถยนต์โตโยต้าในปี 2563 นี้ใหม่เป็น 220,000 คัน คิดเป็น 66% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา หรือเท่ากับ 33.3% ของส่วนแบ่งทางการตลาด หากในอนาคตตลาดมีแนวโน้มในเชิงบวกมากขึ้น เราก็จะท้าทายตัวเองด้วยการปรับเป้าหมายให้เพิ่มสูงยิ่งขึ้นไปอีก”
ประมาณการยอดขายรถยนต์ในประเทศ ปี 2563
ปริมาณการขายรวม |
660,000 คัน |
ลดลง 34.5% |
รถยนต์นั่ง |
225,100 คัน |
ลดลง 43.5% |
รถเพื่อการพาณิชย์ |
434,900 คัน |
ลดลง 28.6% |
รถกระบะ 1 ตัน (รวมรถกระบะดัดแปลง) |
346,015 คัน |
ลดลง 29.7% |
รถกระบะ 1 ตัน (ไม่รวมรถกระบะดัดแปลง) |
310,000 คัน |
ลดลง 28.2% |
ประมาณยอดขายรถยนต์ในประเทศของโตโยต้า ปี 2563
ปริมาณการขายโตโยต้า |
220,000 คัน |
ลดลง 33.8% |
ส่วนแบ่งตลาด 33.3% |
รถยนต์นั่ง |
62,800 คัน |
ลดลง 46.6% |
ส่วนแบ่งตลาด 27.9% |
รถเพื่อการพาณิชย์ |
157,200 คัน |
ลดลง 26.8% |
ส่วนแบ่งตลาด 36.1% |
รถกระบะ 1 ตัน (รวมรถกระบะดัดแปลง) |
135,600 คัน |
ลดลง 29.3% |
ส่วนแบ่งตลาด 39.2% |
รถกระบะ 1 ตัน (ไม่รวมรถกระบะดัดแปลง) |
121,000 คัน |
ลดลง 26.9% |
ส่วนแบ่งตลาด 39.0% |
สำหรับการส่งออกในครึ่งปีแรก 2563 ของโตโยต้าได้ส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปจำนวนทั้งสิ้น 97,000 คัน ลดลง 30% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ดี เราได้เห็นสัญญาณเชิงบวกจากในภูมิภาคโอเชียเนียและบางประเทศในทวีปเอเชีย ด้วยเหตุนี้ เราจึงปรับการคาดการณ์การส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปสำหรับปีนี้ทั้งปี อยู่ที่ 194,000 คัน หรือคิดเป็น 73% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ในส่วนของการผลิตรถยนต์ของเรานั้น ก็เป็นไปตามสภาวะของตลาดรถยนต์ทั้งในประเทศและต่างประเทศซึ่งมีแนวโน้มเติบโตขึ้นเหนือกว่าที่เราได้คาดการณ์ไว้ ดังนั้น จำนวนการผลิตรถยนต์ของโตโยต้าในปี 2563 จะอยู่ในระดับที่ 408,000 คัน คิดเป็น 71% เมื่อเทียบกับยอดการผลิตของปีที่ผ่านมา”
“ท่ามกลางการเผชิญความท้าทายครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดของมวลมนุษยชาติในรอบหลายทศวรรษที่ผ่านมา ผมขอยกย่องประเทศไทยและคนไทย ที่ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงจิตวิญญานอันแรงกล้าและพลังแห่งความสามัคคีอันกล้าแกร่ง ผมหวังว่าประเทศไทยจะเป็นหนึ่งในกลุ่มประเทศแรกๆ ที่สามารถเอาชนะวิกฤตการณ์โรคระบาดในครั้งนี้ได้ ซึ่งครอบครัวโตโยต้าในประเทศไทยก็พร้อมที่จะช่วยขับเคลื่อนภารกิจครั้งนี้ให้สำเร็จ ควบคู่ไปกับการสร้างรากฐานอันแข็งแกร่งให้แก่เศรษฐกิจของไทย”
นายซึงาตะ กล่าวอีกว่าจากที่ได้กล่าวมาทั้งหมดนี้ ผมขอขอบคุณทุกท่านจากใจจริงอีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นทั้งรัฐบาลไทย ลูกค้าคนสำคัญของเรา ตลอดจนภาคส่วนต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง สำหรับการสนับสนุนที่ท่านได้กรุณามอบให้กับพวกเราชาวโตโยต้าในประเทศไทยมาโดยตลอด แม้ในช่วงเวลาอันยากลำบากเช่นนี้ก็ตาม
เรายังคงยืนหยัดเดินหน้าตามแนวทางสากลของโตโยต้าในการยกระดับประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางของการผลิตและส่งออกรถยนต์ในระดับภูมิภาค ตลอดจนเดินหน้าสร้างความเจริญเติบโตให้กับธุรกิจของโตโยต้าในประเทศไทย เพื่อเป็นส่วนช่วยขับเคลื่อนอุตสาหกรรมยานยนต์ของไทยให้เจริญรุ่งเรืองยิ่งๆ ขึ้นไป”
1. ตลาดรถยนต์รวม ปริมาณการขาย 58,013 คัน ลดลง 32.6%
อันดับที่ 1 อีซูซุ | 16,661 คัน | เพิ่มขึ้น 26.1% | ส่วนแบ่งตลาด 28.7% |
อันดับที่ 2 โตโยต้า | 13,366 คัน | ลดลง 53.8% | ส่วนแบ่งตลาด 23.0% |
อันดับที่ 3 ฮอนด้า | 5,822 คัน | ลดลง 52.1% | ส่วนแบ่งตลาด 10.0% |
2. ตลาดรถยนต์นั่ง ปริมาณการขาย 20,768 คัน ลดลง 41.3%
อันดับที่ 1 ฮอนด้า | 4,816 คัน | ลดลง 47.4% | ส่วนแบ่งตลาด 23.2% |
อันดับที่ 2 โตโยต้า | 4,802 คัน | ลดลง 50.7% | ส่วนแบ่งตลาด 23.1% |
อันดับที่ 3 ซูซูกิ | 1,776 คัน | ลดลง 13.1% | ส่วนแบ่งตลาด 8.6% |
3. ตลาดรถเพื่อการพาณิชย์ ปริมาณการขาย 37,245 คัน ลดลง 26.4%
อันดับที่ 1 อีซูซุ | 16,661 คัน | เพิ่มขึ้น 26.1% | ส่วนแบ่งตลาด 44.7% |
อันดับที่ 2 โตโยต้า | 8,564 คัน | ลดลง 55.4% | ส่วนแบ่งตลาด 23.0% |
อันดับที่ 3 มิตซูบิชิ | 2,562 คัน | ลดลง 34.1% | ส่วนแบ่งตลาด 6.9% |
4. ตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน* (Pure Pick up และ รถกระบะดัดแปลง PPV) ปริมาณการขาย 29,576 คัน ลดลง 26.7%
อันดับที่ 1 อีซูซุ | 15,368 คัน | เพิ่มขึ้น 29.7% | ส่วนแบ่งตลาด 52.0% |
อันดับที่ 2 โตโยต้า | 7,375 คัน | ลดลง 57.2% | ส่วนแบ่งตลาด 24.9% |
อันดับที่ 3 มิตซูบิชิ | 2,562 คัน | ลดลง 34.1% | ส่วนแบ่งตลาด 8.7% |
*ปริมาณการขายรถกระบะดัดแปลง ในตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน: 2,992 คัน
โตโยต้า 1,262 คัน – มิตซูบิชิ 553 คัน – อีซูซุ 500 คัน – นิสสัน 337 คัน – ฟอร์ด 312 คัน – เชฟโรเลต 28 คัน
5. ตลาดรถกระบะ Pure Pick up ปริมาณการขาย 26,584 คัน ลดลง 25%
อันดับที่ 1 อีซูซุ | 14,868 คัน | เพิ่มขึ้น 33.7% | ส่วนแบ่งตลาด 55.9% |
อันดับที่ 2 โตโยต้า | 6,113 คัน | ลดลง 58.8% | ส่วนแบ่งตลาด 23.0% |
อันดับที่ 3 มิตซูบิชิ | 2,009 คัน | ลดลง 26.6% | ส่วนแบ่งตลาด 7.6% |
สถิติการจำหน่ายรถยนต์ เดือนมกราคม – มิถุนายน 2563
1. ตลาดรถยนต์รวม ปริมาณการขาย 328,604 คัน ลดลง 37.3%
อันดับที่ 1 โตโยต้า |
94,222 คัน | ลดลง 45.1% | ส่วนแบ่งตลาด 28.7% |
อันดับที่ 2 อีซูซุ | 76,054 คัน | ลดลง 14.7% | ส่วนแบ่งตลาด 23.1% |
อันดับที่ 3 ฮอนด้า |
41,326 คัน | ลดลง 36.1% | ส่วนแบ่งตลาด 12.6% |
2. ตลาดรถยนต์นั่ง ปริมาณการขาย 119,716 คัน ลดลง 42%
อันดับที่ 1 ฮอนด้า | 34,518 คัน | ลดลง 29.4% | ส่วนแบ่งตลาด 28.8% |
อันดับที่ 2 โตโยต้า |
29,926 คัน | ลดลง 50.4% | ส่วนแบ่งตลาด 25.0% |
อันดับที่ 3 นิสสัน |
12,641 คัน | ลดลง 36.9% | ส่วนแบ่งตลาด 10.6% |
3. ตลาดรถเพื่อการพาณิชย์ ปริมาณการขาย 208,888 คัน ลดลง 34.2%
อันดับที่ 1 อีซูซุ |
76,054 คัน | ลดลง 14.7% | ส่วนแบ่งตลาด 36.4% |
อันดับที่ 2 โตโยต้า |
64,296 คัน | ลดลง 42.2% | ส่วนแบ่งตลาด 30.8% |
อันดับที่ 3 มิตซูบิชิ |
15,416 คัน | ลดลง 38.6% | ส่วนแบ่งตลาด 7.4% |
4. ตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน* (Pure Pick up และ รถกระบะดัดแปลง PPV) ปริมาณการขาย 166,409 คัน ลดลง 35.6%
อันดับที่ 1 อีซูซุ |
70,573 คัน | ลดลง 13.9% | ส่วนแบ่งตลาด 42.4% |
อันดับที่ 2 โตโยต้า |
56,265 คัน | ลดลง 43.3% | ส่วนแบ่งตลาด 33.8% |
อันดับที่ 3 มิตซูบิชิ |
15,416 คัน | ลดลง 38.6% | ส่วนแบ่งตลาด 9.3% |
*ปริมาณการขายรถกระบะดัดแปลง ในตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน: 16,977 คัน
โตโยต้า 6,643 คัน – มิตซูบิชิ 3,818 คัน – อีซูซุ 2,948 คัน – ฟอร์ด 2,098 คัน – นิสสัน 832 คัน – เชฟโรเลต 638 คัน
5. ตลาดรถกระบะ Pure Pick up ปริมาณการขาย 149,432 คัน ลดลง 33.7%
อันดับที่ 1 อีซูซุ |
67,625 คัน | ลดลง 11.5% | ส่วนแบ่งตลาด 45.3% |
อันดับที่ 2 โตโยต้า |
49,622 คัน | ลดลง 41.5% | ส่วนแบ่งตลาด 33.2% |
อันดับที่ 3 มิตซูบิชิ |
11,598 คัน | ลดลง 36.3% | ส่วนแบ่งตลาด 7.8% |