Advertisements
Home Featured report Q&A:ทาคาชิ ฮาตะ สารจากผู้นำรถเพื่อการพาณิชย์

Q&A:ทาคาชิ ฮาตะ สารจากผู้นำรถเพื่อการพาณิชย์

“อีซูซู” ค่ายรถยนต์ที่ครองตลาดเป็นลำดับที่2ของไทยและยังเป็นผู้นำตลาดรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ที่ยาวนานและมั่นคงอีซูซุเป็นค่ายรถที่น่าทึ่งในแง่ของการรักษาส่วนแบ่งตลาดและโมเมนตัมทางธุรกิจ ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงและข้อจำกัดต่างๆ การที่อีซูซุครองตลาดหลักของไทยทุกความเคลื่อนไหวของอีซูซู จึงมีนัยยะสำคัญ ปี 2567 เป็นปีที่ตลาดรถยนต์ไทยที่ครองครอบด้วยญี่ปุ่นถูกค่ายรถยนต์ไฟฟ้าที่นำโดยรถยนต์จากแบรนด์จีนเข้าตีตลาดอย่างหนัก และแน่นอนว่ามีผลต่อการแผนการดำเนินงานของบรรดาค่ายรถที่อยู่เดิม เมื่อ26 มีนาคม 2567 าคาชิ ฮาตะ กรรมการผู้จัดการ (Mr.Takashi Hata, President)บริษัท ตรีเพชร อีซูซุเซลส์ จำกัด ผู้นำตลาดรถเพื่อการพาณิชย์ ให้สัมภาษณ์แนวทางของอีซูซุที่ค่อนข้างมีรายละเอียด ในการรับมือการแข่งขัน ซึ่งกองบก aut.co.th เห็นว่าคำสัมภาษณ์มีนัยยะและความหมายสำคัญ ต่อทิศทางของอุตสาหกรรมรถยนต์ที่อยู่ระหว่างการเปลี่ยนถ่ายจากปัจจุบันสู่อนาคต เราจึงขอนำเสนอคำสัมภาษณ์โดยละเอียดอีกครั้งดังนี้

Advertisements

“รถจีนอย่างไรก็ถือว่าเป็นคู่แข่งของอีซูซุแต่อีซูซุเชื่อว่า เรารู้จักความต้องการของลูกค้าดี “

าคาชิ ฮาตะ กรรมการผู้จัดการ (Mr.Takashi Hata, President)บริษัท ตรีเพชร อีซูซุเซลส์ จำกัด

Advertisements

Q:ภาวะตลาดรถยนต์ปิคอัพในไตรมาสแรกปี2567เป็นอย่างไร?
A: สถานการณ์ตลาดปิกอัพในไตรมาสแรกเฉพาะยอดขาย 2 เดือนแรกยังเป็นเหมือนครึ่งปีหลัง เนื่องจากมาตรการปล่อยสินเชื่อของไฟแนนซ์ยังคงเข้มงวดเหมือนเดิม และผู้ใช้ปิกอัพส่วนใหญ่เป็นพ่อค้าแม่ค้าและSME ซึ่งมีหลักฐานการเงิน ที่ไม่แน่นหนาและรายได้ประจำไม่มี จึงไม่มีหลักฐานเพียงพอทำให้ผ่านมาตรฐานการคัดกรองของไฟแนนซ์ยาก

อีซูซุในฐานะผู้จำหน่ายปิกอัพและรถเพื่อการพาณิชย์เป็นหลัก ไม่คิดว่ารถทุกประเภทจะมีการเปลี่ยนแปลงเป็น EVทั้งหมด เรามีแนวคิดเกี่ยวกับ Multi-Pathways to Carbon Neutralityหรือ โซลูชั่นส์อันหลากหลายสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน


Q:คิดว่าตลาดปิคอัพในปี67มีแนวโน้มเป็นอย่างไร?

A: ยอดขายรวมของรถปิกอัพในปีที่แล้ว 264,738 คันคิดเป็นส่วนแบ่งการตลาด34% และยอดขาย 2 เดือนแรกของปีนี้อยู่ที่ 30,000 คันเนื่องจากปีที่แล้วมีหลายค่ายแนะนำรถเก๋งรุ่นใหม่ๆออกมาหลายรุ่นทำให้ตลาดรถเก๋งขยายตัวมากขึ้น ขณะเดียวกันมาตรการทางด้านไฟแนนซ์ทำให้ตลาดรถปิกอัพหดตัวลง คาดว่าปีนี้จะมีสัญญาณที่ดีเพราะจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้น รัฐบาลมีการนำงบประมาณมาใช้ในช่วงกลางปีนี้มากขึ้นซึ่งจะเป็นปัจจัยในการกระตุ้นเศรษฐกิจให้ดีขึ้น แต่สัญญาณลบก็ยังคงอยู่เช่นความเข้มงวดของบริษัทไฟแนนซ์ต่างๆ เราจำเป็นต้องชั่งน้ำหนักดีๆระหว่างสัญญาณบวกกับลบจำเป็นต้องดูหลายปัจจัยประกอบเราถึงจะพิจารณาได้ว่าตลาดรถปิกอัพปีนี้ควรจะเป็นเท่าไหร่ทำให้ตอนนี้ยังไม่สามารถสรุปได้

Q: ท้ายสุดปิคอัพจะเปลี่ยนไปใช้พลังงานไฟฟ้าทั้งหมดหรือไม่ ?
A: การที่งานมอเตอร์โชว์ 2024 มีค่ายรถหลากหลายชาติ ทั้งจีนเวียดนามและส่วนใหญ่จะเน้นเรื่องรถไฟฟ้า ซึ่งอีซูซุเองก็นำ Isuzu D-Max EV Concept และรถบรรทุก Isuzu Elf EV มาโชว์ด้วยนั้น อีซูซุในฐานะผู้จำหน่ายรถปิกอัพและรถเพื่อการพาณิชย์เป็นหลัก ไม่คิดว่ารถทุกประเภทจะมีการเปลี่ยนแปลงเป็นEV ทั้งหมด เราต้องการสนับสนุนรัฐบาลไทยในการดำเนินนโยบายสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนให้ได้ภายในปี2050 ดังนั้นจึงแนะนำรถที่เหมาะกับการใช้งานหลากหลายประเภทแก่ลูกค้าไม่ว่าจะเป็น EV, FCEV หรือรถที่ใช้น้ำมันที่มีความเป็นกลางทางคาร์บอนที่เรียกว่าCN Fuel ซึ่ง อีซูซุกำลังดำเนินการอยู่เนื่องจาก อีซูซุมีแนวคิดเกี่ยวกับ Multi-Pathways to Carbon Neutrality หรือ โซลูชั่นส์อันหลากหลายสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนด้วยเหตุผลที่ว่า เรามีวิธีการอันหลากหลายที่จะบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน

“Isuzu D-Max EV Concept ได้รับกระแสตอบรับที่ดี แต่ยังไม่มีแผนจำหน่ายในปีนี้ เพราะมีหลายขั้นตอนก่อนที่จะนำสินค้าออกสู่ตลาดเนื่องจากรถปิกอัพไม่ใช่รถเก๋งจำเป็นต้องมอนิเตอร์ วิธีการใช้รถจริง”


Q:ปิคอัพไฮบริดกับปิคอัพอีวี อย่างไหนมีแนวโน้มที่จะเติบโตในไทย?
A: อีซูซุเห็นด้วยว่า ไฮบริดปิกอัพ เป็นอีกหนึ่งทางออกที่จะบรรลุ”สังคมความกลางทางคาร์บอนได้”และในอนาคตเราก็อาจจะมีรถ ไฮบริดปิกอัพเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับลูกค้าที่ต้องการจะเข้าสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน แต่ระหว่างไฮบริดปิกอัพ กับ ปิกอัพอีวี ที่จะผลิตในไทยอะไรจะมาก่อนกันนั้น สิ่งที่เราต้องทำคือ การมอนิเตอร์วิธีการใช้งานของลูกค้าเป็นหลักแล้วจึงตัดสินใจว่าลูกค้าแต่ละกลุ่มอีซูซุควรจะแนะนำรถประเภทใดจึงจะเหมาะสมเนื่องจากรถพลังงานทางเลือกมีข้อดี-ข้อเสียหลายประการ

Q:แผนการพัฒนารถยนต์อนาคตของคุณเป็นอย่างไร?

A: อีซูซุมีแผนส่งออกรถปิกอัพไฟฟ้าจากฐานการผลิตในไทยไปนอร์เวย์ ปีหน้า(2568)นอกจากนี้จะวางตลาดในสหราชอาณาจักร ออสเตรเลียและไทย แต่ยังไม่ได้จัดลำดับก่อนหลังขึ้นอยู่กับการคาดการณ์ความต้องการ (demand )ของลูกค้าในประเทศว่ามีเท่าไหร่? ซึ่งIsuzu D-Max EV Concept ในไทยก็ได้รับกระแสตอบรับที่ดี แต่เรายังไม่มีแผนจำหน่ายในปีนี้ และมีหลายขั้นตอนก่อนที่จะนำสินค้าออกสู่ตลาด เนื่องจากรถปิกอัพไม่ใช่รถเก๋งจำเป็นต้องมอนิเตอร์ วิธีการใช้รถจริงเพราะรถปิกอัพไฟฟ้าจะต้องดูเรื่องน้ำหนักบรรทุก ระยะทางวิ่งได้ไกลเท่าไหร่และเรื่องสถานีชาร์จไฟฟ้า ถ้าสิ่งอำนวยความสะดวกเหล่านี้พร้อมและเหมาะสมกับลักษณะการใช้งานของลูกค้าจะนำมาสู่การพิจารณาเพื่อตัดสินใจได้

Q:จากข่าวที่ว่ารถจีนเข้ามาในตลาดในกลุ่มรถปิกอัพและพีพีวีมากขึ้นคุณเตรียมรับมือการแข่งขันไว้อย่างไร?

A: อีซูซุยังไม่ทราบว่ารถปิกอัพของจีนที่จะแนะนำเป็นไฮบริดหรือบีอีวีกันแน่ อย่างไรก็ถือว่าเป็นคู่แข่งของอีซูซุ แต่อีซูซุ เชื่อว่า เรารู้จักความต้องการของลูกค้าดี ยิ่งการทำมอนิเตอร์จะรู้ว่าลูกค้าต้องการรถที่วิ่งระยะทางสูงสุดหรือน้ำหนักบรรทุกเท่าไหร่และควรแนะนำรถประเภทไหนให้กับลูกค้าได้อย่างเหมาะสม ตามประสบการณ์ที่สั่งสมมาของอีซูซุ โดยจุดแข็งที่เรามีนอกเหนือจากผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสูงแล้วเรายังมีความใกล้ชิดมากกับลูกค้า หรือเรียกว่านโยบายประชาคมอีซูซุ (Isuzu Community) ในการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าทั้งเรื่องบริการก่อนและหลังการขายเราจะดำเนินนโยบายนี้ต่อไปในการรักษาฐานลูกค้าของเราไว้

Q:คู่แข่งเปิดตลาดด้วยสงครามราคา คุณมีจุดยืนเรื่องนี้อย่างไร?

A: อีซูซุยังคงนโยบาย”ไม่ร่วมสงครามราคา” เราเชื่อว่าลูกค้าเชื่อมั่นในคุณภาพผลิตภัณฑ์ของเรา เชื่อมั่นในบริการก่อนและหลังการขายเราจะย้ำจุดยืนเหล่านี้เพื่อประกอบการตัดสินใจของลูกค้ามากกว่าจะแข่งในด้านราคาแต่ถ้าถามว่าปัจจัยทางด้านราคามีผลหรือไม่ ก็คงส่งผลกระทบแต่เรามั่นใจในฐานลูกค้าของเราอยู่

Q:เหตุการแย่งตัวพนักงานและพื้นที่โชว์รูมโดยรถจากจีนคุณมีความเห็นอย่างไร?
A: สำหรับเรื่องบุคลากรฝ่ายขายของดีลเลอร์ที่ย้ายค่ายไปขายรถไฟฟ้า เพราะขายได้ง่ายกว่าในช่วงนี้ เราคงทำได้เพียงแค่พยายามให้ดีลเลอร์และฝ่ายขายเข้าใจนโยบายของอีซูซุว่า เราไม่ได้ขายแค่ผลิตภัณฑ์แต่เราขายบริการและรักษาความสัมพันธ์ของลูกค้าด้วย ซึ่งหากมาตรการที่เข้มงวดของไฟแนนซ์ผ่อนคลายลงตลาดรถปิกอัพก็จะกลับมาเจริญเติบโตเหมือนเดิม เราก็จะเทรนเซลส์ที่ตั้งใจอยู่กับเราให้รอจนกว่าจะถึงวันนั้นซึ่งคงจะอีกไม่นาน

Advertisements
Exit mobile version