“ดิอาร์ค” The Arc นิสสัน ความกล้าที่แตกต่าง มาช้าไปหรือไม่

- Advertisement -spot_imgspot_img
- Advertisement -spot_imgspot_img

นิสสันประกาศแผนธุรกิจ ดิอาร์ค (The Arc) เพื่อขับเคลื่อนคุณค่าเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและความสามารถในการทำกำไร ภายใต้แผนการดังกล่าวมีรายละเอียดมากมายแต่หัวใจสำคัญของแผนนี้คือ การมุ่งไปสู่การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน นำเสนอวิธีใหม่ๆ ในการพัฒนาและการผลิตในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าด้วยการทำให้ต้นทุนของรถยนต์ไฟฟ้า มีความใกล้เคียงกับเครื่องยนต์สันดาปภายใน และสะท้อนให้เห็นถึงความยากลำบากของฝั่งญี่ปุ่นที่ยังติดกับกับดัก ต้นทุนที่แท้จริง

Advertisements
มาโกโตะ อุชิดะ ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหารของนิสสัน

เสริมความแข็งแกร่งผลิตภัณฑ์ ด้วยยานยนต์ไฟฟ้า พร้อมนำเสนอวิธีใหม่ๆ ในการพัฒนาและการผลิต ตลอดจนเสริมสร้างความร่วมมือเพื่อบรรลุวิสัยทัศน์ Ambition 2030

  • นิสสันตั้งเป้ายอดขายเพิ่มขึ้น 1 ล้านคัน เมื่อเทียบกับปีงบประมาณ 2023 และความสามารถในการทำกำไรจากการดำเนินงานมากกว่า 6% ภายในสิ้นปีงบประมาณ 2026
  • แนะนำรถยนต์รุ่นใหม่ 30 รุ่นภายในปีงบประมาณ 2026 โดย 16 รุ่นจะเป็นรถยนต์ไฟฟ้า
  • 60% ของรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน (ICE) จะได้รับปรับโฉม ภายในปีงบประมาณ 2026
  • เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของรถยนต์ไฟฟ้าโดยการลดต้นทุนของ EV รุ่นต่อไปลง 30% และทำให้ต้นทุนของรถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปมีความใกล้เคียงกันภายในปีงบประมาณ 2030
  • ลดต้นทุน รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นต่อไปอย่างมีนัยสำคัญสามารถทำได้ผ่านการพัฒนาแบบ “กลุ่มครอบครัว” พร้อมการผลิตรถยนต์ภายใต้แนวทางที่จะเริ่มต้นในปีงบประมาณ 2027
  • สร้างความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ขยายไปสู่เทคโนโลยี กลุ่มผลิตภัณฑ์ และบริการซอฟต์แวร์ต่างๆ
  • จ่ายเงินปันผลและซื้อคืนหุ้นเพื่อตั้งเป้าผลตอบแทนรวมของผู้ถือหุ้นมากกว่า 30%
  • การร่วมลงทุนทางธุรกิจใหม่เพื่อเพิ่มศักยภาพการทำรายได้ 2.5 ล้านล้านเยนภายในปีงบประมาณ 2030

โยโกฮามา ประเทศญี่ปุ่นบริษัท นิสสัน มอเตอร์ จำกัด เปิดตัวแผนธุรกิจ The Arc เพื่อขับเคลื่อนมูลค่าและเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขัน แผนดังกล่าวมุ่งเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์เชิงรุกในวงกว้าง เพิ่มผลิตภัณฑ์ยานยนต์ไฟฟ้า แสวงหาแนวทางใหม่ๆ ในด้านวิศวกรรมและการผลิต ตลอดจนการนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาใช้ และอาศัยความร่วมมือเชิงกลยุทธ์เพื่อเพิ่มยอดขายทั่วโลกและพัฒนาความสามารถในการทำกำไร

แผนดังกล่าวจะเป็นสะพานเชื่อมระหว่างแผนการเปลี่ยนแปลงธุรกิจของ Nissan NEXT ที่เริ่มดำเนินการตั้งแต่ปีงบประมาณ* 2020 ถึงปีงบประมาณ 2023 และNissan Ambition 2030ซึ่งเป็นวิสัยทัศน์ระยะยาวของบริษัท แผนใหม่นี้แบ่งออกเป็นความจำเป็นระยะกลางสำหรับปีงบประมาณ 2024 ถึง 2026 และการดำเนินการระยะกลางถึงระยะยาวที่จะดำเนินการจนถึงปี 2030

นายมาโกโตะ อุชิดะ ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหารของนิสสัน(Makoto Uchida-Nissan President and Chief Executive Officer) กล่าวว่า แผนธุรกิจ The Arc แสดงถึงการพัฒนาอย่างต่อเนื่องและความสามารถของนิสสันในการดำเนินงานในสภาวะตลาดที่เปลี่ยนไป แผนดังกล่าวจะทำให้นิสสันสามารถขับเคลื่อนคุณค่าและพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันที่เพิ่มมากขึ้นและเร็วขึ้น เมื่อต้องเผชิญกับความผันผวนที่รุนแรงของตลาด นิสสันกำลังดำเนินการอย่างเด็ดขาดตามแผนใหม่นี้เพื่อให้มั่นใจว่าเกิดการเติบโตและให้ผลกำไรที่ยั่งยืน

ภายใต้แผนซึ่งประกอบด้วยสององค์ประกอบหลัก นิสสันจะเริ่มต้นด้วยการดำเนินการตามกลยุทธ์ที่ออกแบบมาให้เหมาะสมกับแต่ละภูมิภาค เพื่อเพิ่มยอดขาย และเตรียมพร้อมไปสู่การเปลี่ยนผ่านสู่ยานยนต์ไฟฟ้า ผ่านกลุ่มผลิตภัณฑ์ทั้งยานยนต์ไฟฟ้าและเครื่องยนต์สันดาปในสัดส่วนที่สมดุลกัน ด้วยการเพิ่มยอดขายในตลาดหลัก รวมถึงวินัยทางการเงิน ด้วยความคิดริเริ่มเหล่านี้ นิสสันตั้งเป้าที่จะเพิ่มยอดขายต่อปีให้ถึง1 ล้านคัน และเพิ่มอัตรากำไรจากการดำเนินงานให้มากกว่า 6% ในสิ้นปีงบประมาณ 2026 ถือเป็นการปูทางสำหรับส่วนที่2 ของแผนงานที่มุ่งส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านไปเป็นการใช้รถยนต์ไฟฟ้าและตระหนักถึงการเติบโตที่มีผลกำไรในระยะยาว

Advertisements

โดยได้รับการสนับสนุนจากความร่วมมือที่ชาญฉลาด รวมถึงความสามารถในการแข่งขันด้านยานยนต์ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น นวัตกรรมที่แตกต่าง และช่องทางสร้างรายได้ใหม่ๆ ภายในปีงบประมาณ 2030 นิสสันมองเห็นศักยภาพในการสร้างรายได้ 2.5 ล้านล้านเยนจากโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ

นิสสัน อริยะเวอร์ชั่น นิสโม2024

กลุ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ 30รุ่นใน3ปี

นิสสันวางแผนที่จะเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ 30 รุ่นในช่วง3ปีข้างหน้า โดยในจำนวนนี้จะเป็นรุ่นที่ใช้ระบบขับเคลื่อนไฟฟ้า (EV) 16 รุ่น และรุ่นเครื่องยนต์สันดาป (ICE) 14 รุ่น เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่หลากหลายในตลาดที่มีความเร็วของการใช้ระบบไฟฟ้าในการขับเคลื่อนที่ต่างกัน

เพิ่มรถไฟฟ้า40%ใน 2ปี

 นิสสันวางแผนที่จะเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้า 34 รุ่นในช่วงระหว่างปีงบประมาณ 2024 ถึง2030 เพื่อให้ครอบคลุมลูกค้าทุกกลุ่ม โดยคาดว่าจะมีสัดส่วนรถยนต์ไฟฟ้าถึง40% ทั่วโลกภายในปีงบประมาณ 2026 และจะเพิ่มขึ้นเป็น 60% ภายในสิ้นทศวรรษนี้  

สร้างความเชื่อมั่นในการเติบโตของตลาดผ่านกลยุทธ์ที่ปรับให้เหมาะสมกับระดับภูมิภาค

ในภูมิภาคและตลาดที่สำคัญ การดำเนินการของนิสสันภายในปีงบประมาณ 2026 (เว้นแต่จะระบุไว้เป็นอย่างอื่น) รวมถึง:

ตลาดอเมริกา:

  • เพิ่มยอดขายในภูมิภาค 330,000 คัน (ในปีงบประมาณ 2026 และเมื่อเทียบกับปีงบประมาณ 2023) และลงทุนมูลค่า200 ล้านเหรียญสหรัฐด้านการบูรณาการประสบการณ์ลูกค้า
  • ในประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศแคนาดา: เปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ทั้งหมด 7 รุ่น
  • ในสหรัฐอเมริกา: ปรับโฉมกลุ่มรถยนต์นั่งส่วนบุคคลเป็นสัดส่วน78% สำหรับแบรนด์นิสสัน และเปิดตัวรุ่นเครื่องยนต์อี-พาวเวอร์และเครื่องยนต์แบบปลั๊กอินไฮบริด

ตลาดจีน:

  • ปรับโฉมรถยนต์แบรนด์นิสสันเป็นสัดส่วน73% และเปิดตัวรถยนต์พลังงานใหม่ (NEV) 8 รุ่น ซึ่งในจำนวนนี้รวมรถยนต์แบรนด์นิสสัน 4 รุ่น
  • ตั้งเป้ายอดขาย 1 ล้านคันในปีงบประมาณ 2026 ซึ่งเพิ่มขึ้น 200,000 คัน
  • เริ่มส่งออกรถยนต์ในปี 2568 วางเป้าหมายที่100,000 คัน
  • เพิ่มประสิทธิภาพกำลังการผลิตร่วมกับพันธมิตรในท้องถิ่นอย่างต่อเนื่อง

ตลาดญี่ปุ่น:

  • ปรับโฉมเป็นสัดส่วน80% ของกลุ่มรถยนต์นั่งส่วนบุคคลพร้อมเปิดตัว 5 รุ่นใหม่
  • วางเป้าหมายรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 70% ในกลุ่มรถยนต์นั่งส่วนบุคคล
  • เพิ่มยอดขาย 90,000 คัน (เทียบกับปีงบประมาณ 2023) เป็น 600,000 คันในปีงบประมาณ 2026

ตลาดแอฟริกา ตะวันออกกลาง อินเดีย ยุโรป และโอเชียเนีย:

  • เพิ่มยอดขายระหว่างภูมิภาค 300,000 คัน (ในปีงบประมาณ 2026 และเทียบกับปีงบประมาณ 2023)
  • ในยุโรป: เปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ 6 รุ่น; บรรลุสัดส่วนยอดขายรถยนต์นั่งส่วนบุคคลที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าถึง 40%
  • ในตะวันออกกลาง: เปิดตัวรถ SUV ใหม่ทั้งหมด 5 รุ่น
  • ในอินเดีย: เปิดตัว 3 รุ่นใหม่และส่งเสริมให้เป็นศูนย์กลางการส่งออกในระดับ 100,000 คัน
  • ในโอเชียเนีย: เปิดตัวรถกระบะ 1 ตันและรถยนต์ไฟฟ้าในกลุ่มC segment, crossover EV
  • ในแอฟริกา: เปิดตัวรถ SUV รุ่นใหม่ 2 รุ่นและขยายไปในรุ่นในกลุ่มA-segment

ความสามารถในการแข่งขันของรถยนต์ไฟฟ้า

กลยุทธ์ของผลิตภัณฑ์เชิงรุกได้รับการสนับสนุนจากแนวทางการพัฒนาและการผลิตรูปแบบใหม่ที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้รถยนต์ไฟฟ้ามีราคาที่จับต้องได้และมีศักยภาพในการเพิ่มผลกำไร ด้วยการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าในแบบ “ครอบครัว”ที่จะการบูรณาการระบบส่งกำลัง ร่วมกับการผลิตแบบโมดูลาร์ในยุคหน้า(next-generation modular manufacturing)การจัดซื้อร่วมกันแบบกลุ่ม และนวัตกรรมของแบตเตอรี่

นิสสันตั้งเป้าลดต้นทุนของรถยนต์ไฟฟ้าเจเนอเรชันหน้าลง 30% (เมื่อเปรียบเทียบกับรถยนต์ไฟฟ้า นิสสัน รุ่น อริยะAriya รถยนต์เอสยูวีครอสโอเวอร์รุ่นปัจจุบัน) และบรรลุ ความเท่าเทียมในด้านต้นทุนระหว่างรถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายในปีงบประมาณ 2030

การพัฒนารถยนต์หนึ่งรุ่นหลักจะส่งผลต่อค่าใช้จ่ายสำหรับรถยนต์รุ่นย่อยต่อๆ ไป ซึ่งได้รับการพัฒนาโดยใช้ยานพาหนะหลักจะลดลง 50% ความแปรผันของชิ้นส่วนตกแต่งลดลง 70% และระยะเวลาในการพัฒนาลดลง4เดือน การใช้การผลิตแบบโมดูลาร์จะทำให้สายการผลิตยานพาหนะสั้นลง ส่งผลให้เวลาในการผลิตต่อคันลดลงถึง20%

ภายใต้แผน Arc โรงงานผลิตหลายแห่งในญี่ปุ่นและต่างประเทศจะนำ แนวคิด โรงงานอัจฉริยะของ Nissan มาใช้ ไม่ว่าจะเป็นโรงงานในโอปามาและ นิสสัน มอเตอร์ คิวชู ในญี่ปุ่น โรงงานซันเดอร์แลนด์ในสหราชอาณาจักร และโรงงานแคนตันและ สเมอร์น่า ในสหรัฐอเมริกา จะเริ่มใช้ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2026 ไปจนถึงปีงบประมาณ2030 ในขณะเดียวกัน แนวทางการผลิตแบบ EV36Zeroจะถูกขยายจากซันเดอร์แลนด์ในสหราชอาณาจักรไปยังโรงงานต่างๆ รวมถึงแคนตัน เดเชอร์ด และสเมอร์น่า ในสหรัฐอเมริกา และโทชิกิและคิวชูในญี่ปุ่นตั้งแต่ปีงบประมาณ 2025 ถึง 2028

เทคโนโลยีใหม่

แผนดังกล่าวประกอบด้วยข้อเสนอเพื่อเร่งการพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์อัจฉริยะ เช่น ระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ ProPILOTยุคถัดไป ซึ่งทำให้เกิดเทคโนโลยีการขับขี่อัตโนมัติแบบ door-to-door ตั้งแต่บนทางหลวงไปจนถึงนอกทางหลวง พื้นที่ส่วนตัวรวมถึงที่จอดรถ

นิสสันจะนำเสนอแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน ฟอสเฟด แบบNCM, LFP และแบตเตอรี่โซลิดสเตตที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ทั้งหมด เพื่อผลิตรถยนต์ไฟฟ้าที่หลากหลายเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่แตกต่างกัน 

นิสสันจะปรับปรุงแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน NCM อย่างมีนัยสำคัญ โดยลดเวลาในการชาร์จลง 50% และเพิ่มความหนาแน่นของพลังงานขึ้น50% เมื่อเทียบกับที่ใช้ใน นิสสัน อริยะ แบตเตอรี่ LFP ที่จะพัฒนาและผลิตในญี่ปุ่น จะถูกนำมาใช้โดยจะลดต้นทุนลงถึง30% เมื่อเทียบกับรถยนต์ขนาดเล็กอย่าง นิสสัน ซากุระ รถยนต์ไฟฟ้ามินิแวนขนาดเล็กพร้อมแบตเตอรี่ NCM li-ion, LFP และ all-solid-state ที่ได้รับการปรับปรุงจะเปิดตัวในปีงบประมาณ 2028

ความร่วมมือเชิงกลยุทธ์

นิสสันจะใช้ความร่วมมือเชิงกลยุทธ์เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันและนำเสนอผลิตภัณฑ์พร้อมทั้งเทคโนโลยีระดับโลก และจะยังคงสานต่อความร่วมมือกับเรโนลต์และมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ในยุโรป ลาติน อเมริกา อาเซียน และอินเดีย ในประเทศจีน นิสสันจะใช้ทรัพยากรในท้องถิ่นให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าในจีนและที่อื่นๆ และสำรวจความร่วมมือใหม่ๆในญี่ปุ่น สำหรับแบตเตอรี่ของสหรัฐอเมริกาจะได้รับการพัฒนาและจัดหาร่วมกับพันธมิตรเพื่อนำมาซึ่งกำลังการผลิตขนาด135 กิกะวัตต์ชั่วโมงทั่วโลก

วินัยทางการเงินเพื่อส่งมอบผลงานที่ยืดหยุ่นและทำกำไรได้

รากฐานของแผนนี้คือวินัยทางการเงินที่มั่นคง ซึ่งช่วยให้อัตราส่วนการลงทุนส่วนของค่าใช้จ่ายในการลงทุน (Capital Expenditure – CAPEX) และ ค่าวิจัยและพัฒนา (R&D)ที่มีเสถียรภาพ เทียบกับรายได้สุทธิระหว่าง 7% ถึง 8% โดยไม่รวมการลงทุนด้านความจุของแบตเตอรี่ นอกจากนี้ นิสสันยังวางแผนที่จะลงทุนมากกว่า 4แสนล้านเยนในด้านความจุของแบตเตอรี่ ในขณะเดียวกัน การลงทุนด้านพลังงานไฟฟ้าจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โดยจะมีสัดส่วนมากกว่า 70% ภายในปีงบประมาณ 2026

โดยการจัดการการลงทุนเหล่านี้มีเป้าหมายเพื่อให้ผลประโยชน์แก่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียของบริษัททั้งหมด โดยนิสสันจะรักษากระแสเงินสดอิสระต่อกิจการ หรือ Free Cash Flow (ที่เป็นบวกก่อนการควบรวมกิจการ แม้ภายหลังการลงทุนด้านพลังงานไฟฟ้าแล้วก็ตาม ทั้งนี้เพื่อรักษาผลตอบแทนรวมของผู้ถือหุ้นที่มากกว่า 30% นิสสันตั้งเป้าที่จะรักษาเงินสดสุทธิให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมที่ 1 ล้านล้านเยนตลอดระยะเวลาของแผน The Arc 

“ภายใต้แผนงานที่ครอบคลุมนี้ นิสสันจะเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและบรรลุผลกำไรที่มีความยั่งยืน” นายอุชิดะ กล่าว

 “นิสสันมั่นใจว่าเรามีทรัพยากรเพียงพอในการดำเนินงานตามแผน ซึ่งจะทำให้เรามีรากฐานที่มั่นคงที่เชื่อมโยงกับวิสัยทัศน์ Nissan Ambition 2030 ของเรา”

*ปีงบประมาณของ บริษัท นิสสัน มอเตอร์ จำกัดเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 เมษายนถึง 31 มีนาคม

###

                       

Advertisements
- Advertisement -spot_imgspot_img

Latest news

Advertising

spot_img

Related news

- Advertisement -spot_img